ปชป.เย้ยพวกแยกตัวสุดท้ายไม่รอด

ปชป.โวเป็นพรรคการเมืองที่จะคงอยู่ตลอดไป แขวะพวกแยกตัวสุดท้ายก็ไม่รอด “เพื่อไทย” ไม่สนใจ  สอท.เปิดตัว “สมคิด” ฟุ้งพรรคมีแคนดิเดตนายกฯ แน่แต่ต้องใจเย็น “หญิงหน่อย” รับมีหลายพรรคพูดคุยเรื่องยุบรวม แต่ยังหวังเดินหน้าไทยสร้างไทย “ศรีสุวรรณ” เตรียมยื่น กกต.คุ้ยเคส “กรณ์” ซบอก “สุวัจน์”

เมื่อวันที่ 4 กันยายน ยังคงมีความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ ในการเปิดที่ทำการพรรคและเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธานเปิดการประชุมหารือแนวทางเตรียมการเลือกตั้งกับแกนนำพรรค สมาชิกพรรค ปชป.ในพื้นที่เทศบาลตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา โดยนายนิพนธ์กล่าวว่า ปชป.เป็นพรรคที่อยู่คู่ประเทศไทยมานานกว่า 77 ปี มีการสร้างคนจากรุ่นสู่รุ่น ในแต่ละช่วงเวลามีบุคลากรที่มีประสบการณ์ทางการเมือง มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้านที่เหมาะสมกับสถานการณ์แต่ละยุคแต่ละสมัย มาสู่ปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์ก็มีคนทุกรุ่นอยู่ในพรรค ตั้งแต่บุคคลที่มีความรู้และอาวุโส และทีมคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ประชาธิปัตย์อยู่มาได้กว่า 77  ปี  และจะคงอยู่กับประเทศไทยตลอดไป

“เราจะเห็นได้ว่ามีคนหลายกลุ่มที่พยายามจะไปตั้งพรรค ตั้งเครือข่ายของตนเอง แต่เมื่อผ่านไปสักระยะก็ไปไม่รอด ตรงนี้เองที่ต้องการสื่อให้เห็นถึงจุดแข็งของประชาธิปัตย์ ว่าเป็นพรรคที่หลอมรวมคนที่มีความรู้และประสบการณ์ และเป็นพรรคที่เปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มทุกวัยได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนพรรค สร้างสมประสบการณ์ทางการเมืองและนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” นายนิพนธ์กล่าว

 ขณะที่นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.)  เตรียมเปิดตัวนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และชูจุดขายเรื่องเศรษฐกิจว่า ไม่กังวลอะไร นายสมคิดมาก็ยินดีต้อนรับ เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองต้องมีนโยบายดีๆ มาต่อสู้ ประชาชนเป็นคนตัดสิน ยินดีต้อนรับนายสมคิด

เมื่อถามว่า พรรค พท.จะมีแคนดิเดตคนไหนมาสู้หรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่ามี แต่ยังไม่บอก ใจเย็นๆ มีแน่นอน  ไม่ต้องห่วง นโยบายเราก็เกือบเสร็จหมดแล้ว รอแค่ประกาศเป็นทางการเท่านั้นเอง ขอให้อยู่ในสนามเลือกตั้ง  พรรคไม่ได้หวั่นวิตกอะไร ส่วนเรื่องรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ นั้น ขณะนี้ผู้บริหารกำลังดูแลกันอยู่ มีเวลาอีกนาน ใจเย็นๆ

ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรค สอท.นำทีมพรรคสร้างอนาคตไทยไปพบปะพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดริมคลองเจริญกรุง 103 ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า พรรคพร้อมส่งผู้สมัครครบ 400 เขต เราจะเป็นทางเลือกใหม่ มีความสัมพันธ์อันดีกับทุกฝ่าย ไม่จับมือกับใคร แต่ขอความเชื่อมั่นและสนับสนุนจากประชาชน เราจะไม่เข้าไปในกลุ่มขัดแย้งเดิม ส่วน ดร.สมคิดนั้น ท่านพร้อมใช้ประสบการณ์ที่มีมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และปรับโครงสร้างการเมืองที่ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจมีปัญหา เราพร้อมที่เสนอชุดความคิดใหม่ พรรคใหม่ และนายกฯ คนใหม่

ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวถึงสถานการณ์ด้านการเมืองว่า ปัญหาของประเทศวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ลุงตู่จะอยู่ต่อ หรือลุงป้อมจะรักษาการหรือไม่ได้รักษาการ แต่วันนี้ปัญหาของประเทศอยู่ที่ปากท้องของประชาชน จึงฝากรักษาการนายกฯ อย่ามัวแต่แย่งชิงอำนาจกันจนลืมดูแลพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อน และอยากให้ใส่ใจเรื่องการลดต้นทุนการผลิตสินค้า เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน  พร้อมขอเลิกอุ้มนายทุนพลังงาน

“มั่นใจว่าจะไม่มีการยุบสภาในช่วงนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างอยากรักษาอำนาจให้นานที่สุด และสถานการณ์การเมืองช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วง เพราะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อีกทั้งงบประมาณปี 2566 ก็ผ่านแล้ว” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ

คุณหญิงสุดารัตน์ยังกล่าวถึงการจับมือกับพรรคต่างๆ  ว่า ยอมรับว่ามีหลายพรรคติดต่อพูดคุยมานานแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ว่าเป็นการควบรวมพรรคหรือการร่วมงานในลักษณะใด เพราะอยู่ระหว่างการตัดสินใจ และขึ้นอยู่กับสมาชิกพรรค ซึ่งพรรคจะมีการประชุมใหญ่ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ที่อาจหารือกันในเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวอยากจะดำเนินการตามแนวทางนโยบายของพรรคต่อ  พร้อมอยากให้กำลังใจกับทุกพรรคที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงานให้ชาติบ้านเมือง

นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ประชุมจัดตั้งสาขาพรรครวมไทยสร้างชาติ ลำดับที่ 5 เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.ชุมพร และเลือกกรรมการบริหารพรรค 7 ตำแหน่ง ที่ ต.ทรัพย์อนันต์ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ในวันจันทร์ที่  5 ก.ย. เวลา 13.00 น. จะเดินทางไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ไต่สวน สอบสวนพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) กรณีที่ปรากฏเป็นการทั่วไปว่า  เมื่อวันที่ 2 ก.ย.65 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค ชพน. และนายกรณ์ จาติกวณิช ร่วมกันแถลงข่าวจับมือทางการเมือง เพื่อให้มาร่วมกันทำงาน แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ประเทศ ทั้งๆ ที่นายกรณ์ยังเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรคกล้า โดยแถลงชัดเจนว่า มาร่วมงานกับพรรคชาติพัฒนาในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคกล้า ซึ่งการกระทำของพรรค ชพน.และนายกรณ์จึงอาจเข้าข่ายการครอบงำหรือชี้นำพรรคการเมืองได้ อันอาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  28 และ 29 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ซึ่งอาจมีความผิดตามมาตรา  92 (3) และมาตรา 108 อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคที่ฝ่าฝืนและโทษทางอาญาได้

นายศรีสุวรรณยังกล่าวอีกว่า สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 3 กกต.มีหนังสือเรียกให้สมาคมฯ ไปพบในวันที่ 5 ก.ย.เพื่อให้ถ้อยคำประกอบคำร้องกรณีที่ร้องเรียนให้ดำเนินการไต่สวนสอบสวนเอาผิด ส.ส.ที่มีหลักฐานยืนยันว่ารับเงินหรือทรัพย์สินจากบุคคลอื่น โดยการโอนบัญชีธนาคารผ่านระบบ internet banking ของธนาคารนับแสนบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกรณีสืบเนื่องจากสื่อมวลชนได้เผยแพร่ข้อมูลจากกรณีไลน์หลุด ซึ่งมีเนื้อหาและภาพที่ระบุให้เห็นว่า มีรายชื่อ ส.ส.พรรคเล็กเซ็นชื่อรับเงินกันหลายคนจากบุคคลซึ่งไม่ปรากฏชื่อ และมีภาพหลักฐานสลิปการโอนเงินไปยังบุคคลปลายทาง ซึ่งเป็นชื่อของหัวหน้าพรรคการเมืองเล็กๆ รวมทั้งหัวหน้ากลุ่มการเมืองด้วย โดยจ่ายกันเป็นรายเดือน เดือนละ 100,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

“หลักฐานดังกล่าวสามารถบ่งชี้ได้ว่า นักการเมืองต่างๆ มีพฤติการณ์การรับเงินกันจริง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นการโอนรับกันเพื่อวัตถุประสงค์ใด หรือเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บางอย่างกัน หรือยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการครอบงำหรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมหรือไม่” นายศรีสุวรรณระบุ

นายศรีสุวรรณระบุอีกว่า ยังมีข้อพิรุธว่า ส.ส.บางคนอ้างว่าเงินที่ได้รับโอนมาดังกล่าวนำไปใช้ในการลงพื้นที่ดูแลชาวบ้านนั้น จะถือเป็นรายได้หรือรายรับของพรรคการเมืองตามมาตรา 62 (5) และ/หรือ (7) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2561 หรือไม่ และได้มีการประกาศให้ประชาชนทราบตามมาตรา 65 และ/หรือได้มีการปฏิบัติตามมาตรา 67 ครบถ้วนแล้วหรือไม่ และ/หรือมีการจัดทำและลงรายการทางบัญชีรายรับ-รายจ่ายของพรรคการเมืองตามมาตรา 59 หรือไม่ ฯลฯ แต่หากไม่ใช่ก็อาจถือได้ว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายทันที  ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 72 ประกอบมาตรา  126 ของกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเท่าใดก็ได้ขึ้นอยู่กับศาลกำหนด

นายศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า ที่สำคัญการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 28 ประกอบมาตรา 92 (3)  ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2561 ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้อีกด้วย ที่บัญญัติห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํากิจกรรมของพรรคการเมือง ในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมนั่นเอง

“ในวันดังกล่าวสมาคมฯ จะนำพยานหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏในสื่อมาก่อนไปมอบให้ กกต.เพิ่มเติม เพื่อให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่ออัปเปหิเหล่า ส.ส.หรือหัวหน้าพรรคการเมืองตามหลักฐานดังกล่าวต่อไป” นายศรีสุวรรณระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง