‘กยศ.’หวังพึ่งส.ว. ค้านเลิกดอกเบี้ย ห่วงวินัยการเงิน

"กยศ." หวังพึ่งวุฒิสภา  เตรียมหอบข้อมูลแจงหลังร่างกฎหมายใหม่ยกเลิกดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ เผยมีผู้ผิดนัดชำระหนี้กว่า 2.5 ล้านราย มูลหนี้ 9 หมื่นล้านบาท อยู่ในชั้นการฟ้องร้องหลายแสนราย คลังสั่งทำแผนบริหารสภาพคล่อง ห่วงเรื่องวินัยการเงินผู้กู้เบี้ยวชำระหนี้ ศธ.เร่งปลูกฝังสำนึกความรับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 15 กันยายน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติเงินกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ฉบับที่.. พ.ศ…. วาระสาม โดยมีสาระสำคัญให้ยกเว้นดอกเบี้ยเหลือ 0% ไม่คิดค่าปรับผิดนัดชำระ ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน และให้มีผลย้อนหลังผู้กู้ยืมเงินและผู้ค้ำประกันทุกรายว่า ส่วนตัวมองว่าการเห็นชอบวาระดังกล่าวอาจยังไม่เป็นที่สิ้นสุด เพราะยังต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภาอีกครั้ง ซึ่งคิดว่าทุกภาคส่วนจะต้องพิจารณาอย่างรอบด้านและให้เกิดความเหมาะสมกับทุกฝ่าย โดยเห็นว่าเมื่อผู้เรียนมีการกู้ยืมเงินเกิดขึ้นแล้ว จะต้องมีความรับผิดชอบ ซึ่งในส่วนของ ศธ. เราต้องปลูกฝังวินัยเรื่องการเงินให้แก่นักเรียน รวมถึงสร้างจิตสำนึกเรื่องความรับผิดชอบให้มากขึ้น

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ไม่อยากแสดงความเห็น เพราะผ่านความเห็นชอบจากสภาไปแล้ว โดยกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ต้องไปทำแผนบริหารเงินกองทุนในอนาคต ตามร่างกฎหมายใหม่ ที่มีความแตกต่างในส่วนดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่จะหายไปทั้งหมด จากเดิมที่จะมีรายได้ส่วนนี้มาเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ปล่อยกู้ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงคลังจะต้องมีการอุดหนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ กยศ.เพิ่มเติมหรือไม่ หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะต้องประเมินสภาพคล่องในอนาคต และความต้องการใช้เงิน มีเงินชำระหนี้กลับมาเข้ามามากน้อยแค่ไหน

รมว.การคลังกล่าวว่า ไม่ว่าจะมีดอกเบี้ยหรือไม่มีดอกเบี้ยหรือเบี้ยปรับก็ตาม แต่วินัยทางการเงินยังเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าจะมีการร่างกฎหมายใหม่ แต่วินัยด้านการเงินของลูกหนี้ กยศ. จะต้องเหมือนเดิม ต้องคืนเงินต้นตามกำหนดชำระ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดกฎหมาย ถ้ากองทุนมีความต้องการใช้เงินมากขึ้น เงินชำระคืนต้องมากขึ้น แต่ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระก็ไม่มีเงินกลับมา สภาพคล่องกองทุนจะไม่มี เพราะถ้ามีดอกเบี้ยจะมีความคล่องตัว

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการ กยศ. เปิดเผยว่า กยศ.เตรียมชี้แจงในชั้นคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ถึงผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเบี้ยปรับและการคิดดอกเบี้ย จากเดิมที่เคยเสนอให้ลดเพดาน คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% และเบี้ยปรับไม่เกิน 1% แต่ที่ประชุมสภาผู้แทนฯ ลดเหลืออัตรา 0% รวมทั้งจะชี้แจงถึงบทบาทของ กยศ. ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ตั้งกองทุน 20 ปี ได้รับเงินงบประมาณอุดหนุน 4 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันไม่ได้รับเงินงบประมาณและเป็นกองทุนหมุนเวียนที่มีความยั่งยืน

ทั้งนี้ จากงบประมาณที่ได้รับสนับสนุนสามารถปล่อยกู้ให้ได้รับการศึกษากว่า 6.9 แสนล้านบาท คิดเป็นลูกหนี้จำนวน 6.2 ล้านราย โดยปิดบัญชีไปแล้ว 1.6 ล้านราย เสียชีวิต 6.7 หมื่นราย อยู่ระหว่างการศึกษา ยังไม่ต้องชำระหนี้ 1 ล้านราย อยู่ระหว่างการชำระหนี้ 3.5 ล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ผิดนัดชำระหนี้กว่า 2.5 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 9 หมื่นล้านบาท อยู่ในชั้นการฟ้องร้องหลายแสนราย ขณะเดียวกันกองทุนสามารถปล่อยกู้รายใหม่ได้ปีละ 4 หมื่นล้านบาท และรับชำระคืนปีละ 3 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุดปี 2565 มีการชำระคืนแล้ว 2.7 หมื่นล้านบาท ไม่ได้ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา

 “กยศ.คงเอาข้อเท็จจริงทั้งหมดไปชี้แจงคณะกรรมาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง และหากมีความเห็นไม่ตรงกับสภาผู้แทนราษฎร ตามกระบวนการก็จะตีกลับกฎหมายไปที่ชั้นสภาผู้แทนฯ และมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมอีกครั้ง ซึ่งประเด็นการยกเว้นดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ ขณะนี้มีการถกเถียงกันอย่างมาก และมีความเห็นหลายฝ่ายที่ต้องมาพิจารณาให้รอบคอบ” นายชัยณรงค์ระบุ

ส่วนกรณีที่จะต้องมีการคืนดอกเบี้ยและเบี้ยปรับให้กับผู้ที่ชำระไปก่อนหน้านี้นั้น จะต้องพิจารณารายละเอียดตามกฎหมาย ซึ่งยอมรับว่าทำได้ยาก เพราะมีการปล่อยกู้มานาน หากต้องจ่ายดอกเบี้ยคืนจริง จะต้องกู้มาใช้คืน โดยปัจจุบันกองทุนมีรายได้จากดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ เฉลี่ยปีละ 6 พันล้านบาท ขณะที่มีต้นทุนในการบริหารจัดการกองทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆ ประมาณปีละ 2 พันล้านบาท

ผู้จัดการ กยศ.กล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้กองทุนอยู่ได้ด้วยเงินทุนหมุนเวียน รุ่นพี่ชำระหนี้คืนตรงเวลา เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้โอกาสกับรุ่นน้อง ซึ่งขณะนี้ยังมีเงินกองทุนอยู่หลายหมื่นล้าน ยังเพียงพอเป็นหลักประกันทางการศึกษาให้กับทุกครอบครัว คิดในแง่ดี กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ไม่มีดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ อาจจะกระตุ้นให้ลูกหนี้รีบคืนเงินต้น ซึ่งเงินกองทุนจะเพียงพอหรือไม่ ทุกอย่างอยู่ที่รุ่นพี่จะให้โอกาสรุ่นน้องหรือไม่

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า บางพรรคพยายามสวมรอย พยายามชูเรื่อง กยศ. เสมือนว่าเป็นพรรคที่คิดและทำ ทั้งๆ ที่ความจริงโครงการนี้เกิดขึ้นสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างคนเก่ง คนดี มีคุณภาพ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อประเทศในวันข้างหน้าและก็ประสบความสำเร็จ ประชาชนยังจดจำได้ แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยตกใจที่พรรคอื่นกำลังมาสวมรอย คำตอบประชาชนทราบดี.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ

"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์