ฉีดวัคซีนคลุม70% 100 ล้านโดสในพ.ย.

สถานการณ์โควิดในไทยทรงตัว ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรวมใกล้แตะ 2 หมื่นราย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยเป้าหมายภายในเดือนนี้ ภาพรวมต้องฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากร 70% หรือ  100 ล้านโดส และมีอำเภอไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งฉีดวัคซีนถึงเป้า  70% โฆษกรัฐบาลยันถึงปลายปีมีวัคซีนรวมทั้งหมด 155.6 ล้านโดส

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ  ศบค. รายงานสถานการณ์ในประเทศไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่  7,057 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 6,844 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 6,508 ราย

มาจากการค้นหาเชิงรุก 336 ราย มาจากเรือนจำ 198 ราย  เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 15 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 7,393  ราย อยู่ระหว่างรักษา  95,413 ราย อาการหนัก 1,818 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 430 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 55 ราย เป็นชาย 27  ราย หญิง 28 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 44 ราย มีโรคเรื้อรัง 10 ราย พบผู้เสียชีวิตมากสุดอยู่ใน กทม. 7 ราย

ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน  2,011,331 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน  1,895,929 ราย มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน  19,989 ราย ส่วนยอดผู้ได้รับวัคซีนของประเทศไทยเมื่อวันที่ 12  พ.ย. มีการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม 773,944 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.ทั้งสิ้น 84,094,565 โดส ขณะที่สถานการณ์โลกมียอดผู้ติดเชื้อสะสม 253,203,758 ราย เสียชีวิตสะสม 5,104,030 ราย  

สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ กทม. 667 ราย  สงขลา 463 ราย เชียงใหม่ 455 ราย ปัตตานี 377 ราย นครศรีธรรมราช 346 ราย สมุทรปราการ 251 ราย สุราษฎร์ธานี 245 ราย ยะลา 213 ราย ชลบุรี 189 ราย นราธิวาส 186 ราย สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 1-12 พ.ย.ผ่านทางท่าอากาศยานต่างๆ รวม 39,519 ราย เป็นผู้ติดเชื้อโควิด 46 ราย คิดเป็นร้อยละ  0.12

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า  กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุมประชากรมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยฉีดวัคซีนไปแล้วเกือบ 84  ล้านโดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 44,809,613 คน จากประชากร  66,174,314 คน หรือ 62.2%

"ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนเข้ามามากและสม่ำเสมอ แต่จำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนกลับเริ่มชะลอตัว สาเหตุจากประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว เหลือเพียงกลุ่มที่รอวัคซีนทางเลือก หรือไม่ยอมฉีดวัคซีนจากเหตุผลส่วนตัวกว่า 10 ล้านคน หรือ 17% และบางส่วนเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วแต่ยังไม่ได้บันทึกข้อมูลในระบบ"

ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยว่า คณะผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขจึงได้วางกลยุทธ์เพื่อฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ครอบคลุมมากที่สุด ช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคโควิด โดยกำหนดเป้าหมายในเดือนพฤศจิกายน 2564 ภาพรวมต้องฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากร 70% หรือ 100 ล้านโดส และมีอำเภอไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งฉีดวัคซีนถึงเป้า 70%

นพ.เกียรติภูมิเผยว่า ได้ออกแบบวิธีการดำเนินงานเพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปตามเป้าหมาย ได้แก่ จัดการฐานข้อมูล ค้นหาประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และยังไม่ได้รับวัคซีนนำเข้ามารับการฉีดวัคซีน โดยอำเภอไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งต้องฉีดวัคซีนถึงเป้า 70% ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดประสานภาคส่วนต่างๆ เช่น ฝ่ายปกครอง  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชมรม/สมาคม ภาคเอกชน นำประชาชนมาฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด จุดฉีดวัคซีนต้องลงข้อมูลให้ครบถ้วนเป็นปัจจุบัน และขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกแขนงร่วมรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจเข้ารับการฉีดวัคซีน รวมทั้งจัดสัปดาห์ฉีดวัคซีนเนื่องในวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข 27 พ.ย.-5 ธ.ค.64

ขยายเป้าหมายฉีดวัคซีนในกลุ่มแรงงานต่างด้าว, จัดทีมฉีดวัคซีนเชิงรุกและเพิ่มจุดฉีดวัคซีน, เพิ่มจำนวน Covid Free Setting  ในทุกจังหวัด กำหนดให้ทั้งพนักงานและลูกค้าต้องฉีดวัคซีน, ติดตามความก้าวหน้าการฉีดวัคซีนระดับจังหวัดทุกวัน, ให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่จัดกิจกรรมจูงใจคนมาฉีดวัคซีน เช่น ให้รางวัล หรือร่วมกับภาคเอกชนลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าโดยสาร ให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว  เป็นต้น

สิ้นปีวัคซีนรวม 155.6 ล้านโดส

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. ได้ติดตามแผนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของไทย และพอใจที่ไทยสามารถจัดหาวัคซีนได้เกินเป้าหมาย โดยปลายปีนี้ไทยจะมีวัคซีนรวมทั้งหมด 155.6 ล้านโดส

ประกอบด้วยวัคซีนที่รัฐจัดหาจำนวน 128.6 ล้านโดส ได้แก่  Sinovac, AstraZeneca และ Pfizer รวมทั้งวัคซีนทางเลือก ได้แก่ Sinopharm และ Moderna จำนวน 27 ล้านโดส โดยตั้งเป้าหมายใหม่ของการฉีดวัคซีนภายในปีนี้ โดยให้ครอบคลุมผู้ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 อย่างน้อยร้อยละ 80 และเข็ม 2 อย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในเดือนธันวาคมนี้

ผลการดำเนินการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 28  กุมภาพันธ์-12 พฤศจิกายน 2564  มีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนสะสม  84.5 ล้านราย แบ่งประเภทผู้ได้รับเข็มที่ 1 จำนวน 45.2 ล้านราย  คิดเป็น 67.3% ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 36.5 ล้านราย คิดเป็น  54.4% ผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 2.7 ล้านราย คิดเป็น 3.8%  สำหรับผลการฉีดวัคซีนในกลุ่มอายุ 12-17 ปี ระหว่างวันที่ 4 ต.ค.-11 พ.ย.64 รวมจำนวน 4.3 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน  2.8 ล้านโดส และเข็มที่ 2 จำนวน 1.5 ล้านโดส และการฉีดวัคซีนชาวต่างชาติในไทยอยู่ที่ 2,196,744 โดส คิดเป็นร้อยละ 26.5  ของจำนวนชาวต่างชาติทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในไทย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.ยังเห็นชอบให้มีการจัดสรรให้กลุ่มประชากรอื่นๆ ที่ไม่ใช่สัญชาติไทยทั้งหมดสามารถรับการฉีดวัคซีนได้ตามความสมัครใจ แนวทางบริหารจัดการกลุ่มประชากรที่มิใช่สัญชาติไทย ศบค.มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบกำหนดและจัดทำทะเบียนรายชื่อและจำนวนสำหรับผู้ที่ประสงค์รับวัคซีน ติดตามให้มารับการฉีดวัคซีนตามวันเวลา และสถานที่ที่กำหนด กรณีกลุ่มเป้าหมายไม่มีเลขประจำตัวจะสร้างฐานข้อมูลตัวแปร (Generate Code) เพื่อออกใบรับรองการฉีดวัคซีนได้ ทั้งนี้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสำรวจจัดทำทะเบียนฉีด รวมทั้งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการฉีดให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ดังนี้

1.แรงงานภาคประมง จังหวัดชายทะเล (จังหวัดชายทะเล 21  จังหวัด) มอบ ศรชล. 

2.คนประจำเรือไทยหรือผู้ปฏิบัติงานบนเรือไทย ณ บริเวณท่าเรือในพื้นที่จังหวัดต่างๆ (จังหวัดชายทะเล 21 จังหวัด) มอบกรมเจ้าท่า  กระทรวงคมนาคม 

3.แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ/บ้านนายจ้างที่ทั้งขึ้นทะเบียนและไม่ขึ้นทะเบียน มอบ กอ.รมน. กระทรวงแรงงาน/กระทรวงมหาดไทย

4.แรงงานต่างด้าวตามชายแดนไทย 5.ผู้หนีภัยการสู้รบ พื้นที่พักพิงราชบุรี กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอนและตาก และ 6.กลุ่มประชากรอื่นๆ  ที่ไม่ใช่สัญชาติไทยทั้งหมด ในทุกจังหวัด มอบกระทรวงมหาดไทย

ทั้งนี้ ยังกำชับผู้รับผิดชอบระดับอำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน เร่งสำรวจประชากรที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนให้ได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว  เพื่อลดความรุนแรงของการแพร่ระบาด พร้อมทั้งปกป้องระบบสาธารณสุขไทย

"ในที่ประชุมผู้นำเอเปก ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก รวมทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังเห็นพ้องกันว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างทั่วถึงเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหา ทั้งการระบาดไวรัสโควิด-19 และนำเศรษฐกิจให้กลับมาเดินหน้าได้อีก ซึ่งตรงกับนโยบายนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ให้เร่งจัดหาและฉีดวัคซีน มั่นใจไทยเข้าถึงเป้าหมาย 100 ล้านโดสภายในเดือนนี้ ช่วยย้ำความเชื่อมั่นให้ภาคเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมทั้งการเปิดประเทศเพิ่มเติมในปลายปีนี้ด้วย" นายธนกรกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง