‘หาวเจ๋อตู้’ ขู่ฟ้องแหลก

.vce-row-container .vcv-lozad {display: none}

"ชลน่าน" มาแปลกจะยื่นซักฟอกรัฐบาล กลางธันวา แต่กลัวไม่มีคนฟังเพราะเป็นช่วงใกล้ปีใหม่ ภาพพระเอกค้ำคอ ชี้ปมเงินบริจาคพลังประชารัฐ ห้ามยุบพรรค นอกจากล้มล้างการปกครอง "หาวเจ๋อ  ตู้" ขู่ฟ้องสื่อ ยันเป็นนักธุรกิจมือสะอาด

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2565 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ของพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า จากเดิมที่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนจะยื่นตั้งแต่เปิดสภา แต่มีเหตุการณ์จำเป็นที่จะต้องนำเรื่องด่วนมากกว่า คือญัตติด่วนเรื่องโศกนาฏกรรมที่หนองบัวลำภูและปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก จึงจำเป็นต้องเลื่อนการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ไปเป็นช่วงกลางเดือน พ.ย. คาดว่าเป็นช่วง 15-16 พ.ย.และคาดว่าจะได้อภิปรายในช่วงกลางเดือน ธ.ค. โดยญัตติดังกล่าวจะเป็นการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน สอบถามปัญหาและเสนอแนะแนวทางให้ผู้บริหารนำไปปรับใช้

"ผมมีความกังวลว่า การอภิปรายในช่วงเวลาดังกล่าวอาจไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนเท่าที่ควร เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี แต่เมื่อดูสถานการณ์ปัจจุบัน หากไม่ยื่นอภิปรายในช่วงนี้ก็อาจไม่มีโอกาสอภิปราย เพราะอาจมีอุบัติเหตุทางการเมืองหลังการประชุมเอเปก เช่นมีการยุบสภาเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 24 ธ.ค.ตามกระแสข่าว จึงใช้เงื่อนไขนี้มาประเมินช่วงเวลาในการยื่นอภิปราย ซึ่งในการอภิปรายยุคนี้มีข้อดี ไม่จำเป็นต้องรอฟังสด แต่ประชาชนสามารถย้อนดูได้ผ่านสื่อต่างๆ ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็สามารถติดตามการอภิปรายได้"

เมื่อถามถึงความมั่นใจว่าจะมีการยุบสภาในวันที่ 24  ธ.ค. หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตอบว่า เป็นเพียงการคาดการณ์ ไม่มีใครรู้ เพราะผู้มีอำนาจยุบสภาคือนายกรัฐมนตรี  แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองก็มาประมวลภาพรวมว่า น่าจะมีการยุบสภาเกิดขึ้นก่อนครบวาระ ซึ่งมีความมั่นใจ  90% ซึ่งหากมีการยุบสภาก็เนื่องจากเป็นช่วงที่รัฐบาลจะได้ประโยชน์มากที่สุด ทั้งในเรื่องการเลือกตั้งที่ประชาชนไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อ และต้องมีมาตรการที่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่น เช่น ของขวัญปีใหม่จากงบประมาณแผ่นดิน จัดโครงการแจกแถม เช่น การเร่งให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในตอนนี้ เมื่อโครงการเหล่านี้ได้ดำเนินการแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์กับรัฐบาลในช่วงที่มีการยุบสภา  สำหรับเนื้อหาที่จะยื่นอภิปราย จะใช้กรอบนโยบายเร่งด่วน  12 ข้อของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งจะมีรายละเอียดครอบคลุมทุกมิติ โดยจะเจาะลึกข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด บ่อนและการปราบปรามผู้มีอิทธิพล

นพ.ชลน่านยังกล่าวถึงกรณีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ “หาวเจ๋อ ตู้” ชายเชื้อชาติจีนที่เพิ่งได้รับสัญชาติไทย ในกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับผับฉาวย่านยานนาวา เนื่องจากมีชื่อบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 3 ล้านบาทเมื่อปี 2564 ว่า เรายังไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล  ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค พท.ให้ความเห็นในเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อถามว่า พรรค พท.มีข้อบังคับหรือมาตรการเข้มงวดในการรับเงินบริจาคเพื่อไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้หรือไม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตอบว่า หลักของการรับเงินบริจาคเขียนไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งก็ต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายนั้น แต่การบังคับใช้กฎหมายจึงมีช่องทางมาก ผู้บริหารของพรรคนั้นต้องรู้และแสวงหาข้อมูลให้ได้ ว่าผู้บริจาคและเงินบริจาคมีที่มาที่ไปอย่างไร

ถามอีกว่า จากข้อมูลที่ปรากฏคิดว่าพรรค พปชร.จะถูกยุบจากกรณีเงินบริจาคนี้หรือไม่ นพ.ชลน่านเผยว่า เรื่องนี้นายชูศักดิ์ได้เปิดเผยข้อมูลแล้วว่ากฎหมายปัจจุบันมีช่องให้ร้อง ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับช่องทางที่จะร้องยุบพรรคตามกฎหมายปัจจุบันที่มีถึง 13 ช่องทาง แบ่งเป็นตามรัฐธรรมนูญ 3 ช่องทาง และกฎหมายลูก 10 ช่องทาง พรรคเพื่อไทยประกาศชัดว่าเราไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคโดยไม่มีเหตุผล ทั้งนี้ เราเคยเสนอแก้กฎหมายและแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าการจะให้ยุบพรรค ขอให้มีเหตุผลเดียวคือการล้มล้างการปกครองเท่านั้น

'หาวเจ๋อ ตู้' จ่อฟ้องสื่อ

ขณะที่นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวยืนยันว่า การรายงานข่าวเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง ตนเป็นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโดยสุจริตมานานแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับการกระทำตามรายงานข่าวแน่นอน

"สถานที่ประกอบการดังกล่าวเป็นของสมาคมไหหนำ  และให้เช่าแก่ผู้อื่น ซึ่งทราบว่าผู้เช่าได้นำสถานที่ดังกล่าวให้เช่าช่วงแก่ผู้อื่นไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 และผู้เช่าช่วงซึ่งเป็นผู้ประกอบการในสถานที่ดังกล่าวได้ต่อสัญญาครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นเวลา 3 ปี โดยที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ และทราบว่าผู้เช่าช่วงก็มีตัวตนเป็นหลักแหล่ง"

นายชัยณัฐร์กล่าวอีกว่า การนำเสนอข่าวดังกล่าวจึงเป็นการหมิ่นประมาทโดยทางสาธารณะและระบบคอมพิวเตอร์ เป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทหลายกรรมความผิด และต้องรับผิดทางแพ่งด้วย ดังนั้นตนจึงจำเป็นต้องปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โดยจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง และขอบารมีศาลคุ้มครองความเสียหายของตนต่อไป ซึ่งคาดว่าจะดำเนินคดีได้ภายในสัปดาห์หน้านี้ และตนขอให้สื่อมวลชนทั้ง 3 รายดังกล่าวยุติการกระทำผิดซ้ำตั้งแต่บัดนี้ เพื่อมิให้เพิ่มกรรมและการกระทำความผิดมากขึ้นไปอีก

ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะฝ่ายกฎหมายพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นพรรคตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว โดยดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองทุกประการ  ไม่มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งขั้นตอนการรับบริจาค กฎหมายพรรคการเมืองเขียนไว้อย่างเคร่งครัด เมื่อได้รับบริจาคมาแล้วต้องจัดทำรายงานพร้อมจัดส่งเอกสารหลักฐานต่างๆ รวมทั้งสำเนาบัตรประชาชนของผู้บริจาค และรายงานให้ กกต.รับทราบ ซึ่งกรณีนี้ได้รับบริจาคมาเมื่อเดือน พ.ค.64 ทั้งนี้พรรค พปชร.ให้ความระวังเรื่องการกระทำต่างๆ โดยต้องคำนึงให้เป็นไปตามกฎหมาย กรณีที่เกิดขึ้นขอยืนยันกับสังคมว่า พปชร.ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ แต่มีความเป็นห่วงการให้สัมภาษณ์หรือการแสดงความเห็นของบางคน ว่าอย่าไปให้สัมภาษณ์ใส่ความหรือวิพากษ์วิจารณ์ จนทำให้พรรค พปชร.เกิดความเสียหายหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะข้อเท็จจริงในกรณีนี้พรรค พปชร.ไม่ได้ทำผิดแต่อย่างใด

เมื่อถามว่า มั่นใจว่าไม่มีเหตุที่จะนำไปสู่การยุบพรรค พปชร.ใช่หรือไม่ นายไพบูลย์กล่าวว่า ไม่มีเหตุที่ผิดกฎหมายแน่นอน เมื่อไม่ผิดกฎหมายคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการยุบพรรค เพราะไม่มีอยู่แล้ว ไม่มีการกระทำใดที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ในฐานะฝ่ายกฎหมายได้ตรวจสอบครบถ้วนแล้ว

มั่นใจไม่มีปัญหา

ถามว่า หาก กกต.จะขอข้อมูลหรือเรียกไปสอบสวนพร้อมชี้แจงหรือไม่ นายไพบูลย์เผยว่า เป็นหลักการทั่วไปอยู่แล้ว การตรวจสอบของ กกต.สามารถเรียกขอเอกสารได้อยู่แล้ว ซึ่งกรณีนี้เป็นการรับเงินบริจาค พรรคต้องส่งเอกสาร ข้อมูล และรายงานให้ กกต.รับทราบอยู่แล้ว ซึ่งกกต.ได้วางหลักเกณฑ์การรับเงินบริจาคไว้อย่างเข้มงวดและเคร่งครัดอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อใดที่พรรคการเมืองได้รับบริจาคต้องรายงานให้ กกต.ทราบโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า กกต.คงได้ตรวจสอบกระบวนการรับบริจาคเมื่อปี  2564 มาบ้างแล้ว ทุกฝ่ายดำเนินการกันไป ฝ่ายตรวจสอบก็ตรวจสอบตามหน้าที่ไป พปชร.มั่นใจอยู่แล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะผู้บริหารนำโดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค, นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค, นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ที่ปรึกษาพรรค, พ.อ.วินัย สมพงษ์ ที่ปรึกษาพรรค และทีมนโยบายรุ่นใหม่ของพรรค ได้หารือนโยบายด้านพลังงาน โดยเฉพาะประเด็น มติ ครม.เมื่อวันที่ 25 ต.ค.65 ที่อนุมัติให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกู้เงิน 1.5 แสนล้านบาท โดยมีรัฐบาลค้ำประกันเป็นหนี้สาธารณะ ที่ประชาชนต้องร่วมใช้หนี้ทุกครั้งที่จ่ายเงินเติมน้ำมันเป็นระยะเวลา 7 ปี

"เรื่องโครงสร้างพลังงานเป็นเรื่องละเอียด จึงได้นำมาปรึกษาพี่สุวัจน์ ซึ่งเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่มีความชำนาญด้านพลังงาน และ นพ.วรรณรัตน์ อดีตรัฐมนตรีพลังงานที่ผ่านการบริหารช่วงวิกฤตราคาน้ำมันมาแล้ว ในมุมการก่อหนี้สาธารณะก็มีพี่กรณ์ อดีตรัฐมนตรีคลังมาช่วยให้ความเห็นร่วมด้วย พวกเราทีมนโยบายรุ่นใหม่กับพี่ๆ  ทุกท่านเห็นตรงกันว่า วิกฤตการณ์โลกเกิดขึ้นบ่อยครั้ง  สถานการณ์ราคาพลังงานผันผวน ประเทศไทยไม่สามารถบริหารโครงสร้างพลังงานแบบเดิมได้อีกแล้ว นโยบายหลักของพรรคชาติพัฒนากล้าจะมุ่งตรงไปที่การปรับโครงสร้างพลังงาน ที่เป็นต้นเหตุสำคัญทำให้ราคาสินค้าแพง" นายอรรถวิชช์กล่าว

รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้ากล่าวด้วยว่า ถ้าคิดค่าการกลั่นแบบเดิม โครงสร้างราคาพลังงานแบบเดิม ในสถานการณ์โลกที่ผันผวน สุดท้ายจะทำให้ประชาชนรับภาระมากเกินไป การแก้ปัญหาจึงต้องมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน โดยยึดเรื่องการลดภาระประชาชนเป็นหลัก ซึ่งรัฐบาลควรแก้ปัญหาจากต้นเหตุคือโรงกลั่น เช่น การกำหนดสัดส่วนค่าการกลั่นที่เหมาะสม ออก พ.ร.ก.ภาษีลาภลอย หรือเรียกเก็บเงินจากโรงกลั่น ซึ่งรัฐบาลเคยเอ่ยปากว่าจะเก็บกำไรส่วนเกินโรงกลั่น 2.4 หมื่นล้านบาท  แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน ถ้ารัฐบาลรับฟังข้อเสนอนี้จะสามารถลดภาระประชาชน ใช้หนี้กองทุนน้ำมันได้เร็วขึ้น ไม่ต้องยาวนานถึง 7 ปี ย้ำว่าเรื่องพลังงานเราจะไปให้สุดทาง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กระทบทุกคน ขอบคุณพี่ๆ อดีตรัฐมนตรีที่พร้อมสู้ด้วยกัน

'อันวาร์' เตรียมหนี ปชป.

นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงกรณีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค อดีตรองนายกฯ และอดีต ส.ส.หลายสมัย ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนเคารพนายไตรรงค์เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ท่านเป็นผู้อาวุโสทางการเมืองของพรรคและมีชื่อเสียงของการเมืองไทย จึงเป็นที่น่าเสียดายมากสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ข้อความที่ท่านระบุว่า ลาออก ทั้งที่ยังรักพรรคประชาธิปัตย์ คืออุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ประกาศไว้ในวันก่อตั้งพรรคเมื่อปี พ.ศ.2489 จึงเป็นสมาชิกมาตลอดเวลา 38 ปี ดังนั้นการลาออกครั้งนี้แปลว่า ท่านเห็นว่าอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนไป นี่หรือไม่ที่เป็นเหตุให้สมาชิกพรรคที่มีชื่อเสียงและรัฐมนตรีหลายคนลาออกไปจากพรรคกว่า  30 คนแล้ว ซึ่งตนได้เตือนพรรคมาตลอดร่วม 4 ปี

“สิ่งที่ท่านไตรรงค์ระบุ สอดคล้องกับสิ่งที่ผมคิดและตัดสินใจเข้ามาร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ปี  พ.ศ.2548 จนถึงบัดนี้ 17 ปีเต็ม และก็ใกล้ถึงเวลาที่ต้องจากพรรคนี้ไปเช่นเดียวกับท่านไตรรงค์ เพียงแต่ต่างกันตรงที่ว่าท่านเลือกที่จะลาออก เพราะเตือนด้วยความหวังดีว่าพรรคควรจะแก้ไขสิ่งใดบ้างแต่ไม่มีใครฟัง แต่สำหรับผมไม่ได้ลาออก แต่กำลังจะถูกบีบให้ออกด้วยการไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในสมัยที่ 5 ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ  เตือนพรรคด้วยความหวังดี แต่ผู้บริหารพรรคไม่มีใครฟังเช่นกัน ผมจึงขอกราบคารวะผู้อาวุโสหลายท่านที่ได้กรุณาให้กำลังใจ ผมจะไม่มีวันลืม คือท่านพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล  และท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี ซึ่งเป็นคนดีควรค่าแก่การเคารพ สมกับที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สังคมเคารพนับถือ ท่านเคยพูดตักเตือนผู้บริหารพรรคด้วยคำพูดที่รุนแรงแต่จริงใจ  เมื่อวันที่ 19 มี.ค.65 ที่โรงแรม Kantary Hills จ.เชียงใหม่  ตามที่เคยเป็นข่าวใหญ่ ผมได้ทำหน้าที่ตักเตือนพรรคให้กอบกู้สถานะพรรคที่ตกต่ำเป็นอย่างมากในประวัติศาสตร์พรรค โดยเสนอเอกสารเป็นหลักฐานซึ่งพรรคได้ลงรับไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ผมได้รับจากพรรคคือ ผู้บริหาร 2-3 คนตัดสินใจไม่ส่งผมลงสมัครรับเลือกตั้ง” นายอันวาร์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี  และระบุว่าอยากให้นายอันวาร์มาพูดคุยกัน แสดงว่าจะย้ายพรรคและมีความคืบหน้าอย่างไร นายอันวาร์กล่าวว่า  นายนิโรธ สุนทรเลขา ประธานวิปรัฐบาล ได้ประสานมาแล้ว โดยจะพูดคุยในสัปดาห์หน้า เพราะสัปดาห์นี้ยังติดงานทอดกฐินใน จ.นครสวรรค์ ส่วนผลการพูดคุยเป็นประการใด จะแจ้งให้ทราบต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ

"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์