ไฟเขียวพรก.กู้อุ้มนํ้ามัน คนกรุงอ่วมขึ้นค่าแท็กซี่

ไฟเขียว พ.ร.ก.กู้เงินอุ้มกองทุนน้ำมัน "รมว.พลังงาน" ร่ายเหตุโควิดกระหน่ำด้วยวิกฤตสงคราม ฉุดเศรษฐกิจดิ่งเหว ฝ่ายค้านสับเละจับเสือมือเปล่า กู้แสนล้านมีแค่เอกสาร 2 หน้า ไร้แผนชัดเจน ถามหาวุ่นภาษีสรรพสามิตหายไปไหน อัดหนักปลายทางคนไทยแบกรับหนี้หัวโต ด้าน "ปชป." รุกหนักออกพ.ร.ก.เก็บภาษีลาภลอย ชาวกรุงกระอักอีก! ค่าแท็กซี่ขึ้นจ่อคอ

เมื่อวันพุธ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.)ผ่อนผันให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 โดยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน กล่าวรายงานว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจและสถานการณ์ น้ำมันโลกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดจากการเปลี่ยนแปลงหลายประการ ทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้กองทุนน้ำมันต้องอุดหนุน เพื่อเข้าช่วยเหลือลดค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพของประชาชน

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า จนปัจจุบันสถานะของกองทุนน้ำมันฯ ติดลบกว่า 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งยังคงอุดหนุนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนมากนัก โดยควบคุมราคาน้ำมันไว้ไม่ให้เกิน 35 บาทต่อลิตร หากไม่อุดหนุนจะอยู่ที่ 38-39 บาทต่อลิตร และควบคุมราคาแก๊สหุงต้มไม่เกิน 400 บาท หากไม่อุดหนุนก็จะอยู่ที่ 592 บาท

"นอกจากนี้ ยังมีสงครามระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้เกิดวิกฤตซ้อนวิกฤต และปัจจุบันสถานการณ์โลกยังไม่คลี่คลาย ทำให้สถานการณ์ติดลบไปเรื่อยๆ ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด กองทุนน้ำมันยังต้องรักษาเสถียรภาพในระดับราคาที่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องเสริมสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน เพื่อเพิ่มความมั่นใจต่อการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงิน ซึ่งการค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลัง เป็นสิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจต่อสถาบันการเงินที่จะอนุมัติเงินกู้ให้กับกองทุนน้ำมัน เพื่อเสริมสภาพคล่องและให้ระบบเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัว ขณะที่แผนชำระหนี้นั้น ทางกองทุนน้ำมันก็ได้วางแนวทางไว้แล้ว" นายสุพัฒนพงษ์ระบุ

ทั้งนี้ มีสมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่แสดงความกังวลในเรื่องการหาเงินมาชำระหนี้กองทุนน้ำมัน เพราะยังไม่มีแนวโน้มที่ราคาพลังงานจะลดลงมา และอาจจะกระทบต่อวินัยการเงินคลังของประเทศได้

คนไทยแบกหนี้หัวโต

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เราอาจจะลืมพูดเรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุดคือการขอให้กระทรวงการคลังมาค้ำเงินกู้ ซึ่งหมายถึงการขอให้ประชาชนค้ำเงินกู้ด้วย และเงินกู้ครั้งนี้มีวงเงินสูงถึง 150,000 ล้านบาท แต่ รมว.พลังงานกลับไม่มีการชี้แจงว่า กู้ไปทำอะไร ดอกเบี้ยเท่าไหร่ รวมถึงแผนการการใช้หนี้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตนเองได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมวิปฝ่ายค้าน ตนเองได้สอบถามถึงแผนงาน ซึ่งหน่วยงานได้ชี้แจงผ่านเอกสารไม่ถึง 2 หน้า โดยระบุว่ากู้วงเงินแรก 30,000 ล้านบาท วงเงินที่เหลือจะทยอยกู้ 6 ครั้ง แต่ไม่ได้บอกว่าจะคืนเมื่อไหร่ และดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร แผนการใช้ยิ่งยากใหญ่ บอกแค่ว่าจะใช้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ โดยไม่ได้แจ้งว่าการใช้เงินจะใช้ไปมากเท่าไหร่

"กองทุนน้ำมันไม่ได้ระบุว่าจะหารายได้จากที่ใดมาใช้หนี้ ตอนนี้ไม่มีธนาคารใดให้กู้เพราะสภาพคล่องของกองทุนมีปัญหาและเกิดความสุ่มเสี่ยงว่าจะใช้หนี้ไม่ได้ในอนาคต ที่ผ่านมาหากใช้ข้อมูลย้อนหลัง ค่าเฉลี่ยของการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 2 ปี เพื่อจะใช้คืนหนี้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลากว่า 30 ปีถึงจะใช้หนี้ได้ครบทุกบาททุกสตางค์ และยังภาษีสรรพสามิตที่หายไป แต่ไม่มีการชี้แจงไว้ที่ส่วนใดเลยวันนี้ขอเรียกร้องประธานผ่านไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงให้ทราบว่าภาษีสรรพสามิตหายไปทั้งหมดเท่าไหร่" น.ส.ศิริกัญญาระบุ

น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ในภาพใหญ่หนี้สาธารณะของประเทศไทยจะเป็นเท่าไหร่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าหากกองทุนน้ำมันกู้เงินและกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำหรือไม่ค้ำก็จะตกไปเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 150,000 ล้านบาท จาก 10 ล้านล้านบาท และภาระหนี้ของคนไทยจะเป็นเท่าไหร่ในอนาคต ส่วนการเก็บภาษีลาภลอย โดยระบุว่า หากเป็นกลไกตลาดจริงและถูกกำหนดโดยตลาดโลกจริงการเก็บภาษีลาภลอยแบบนี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบไปที่ผู้บริโภค

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา นายกฯ ชี้แจงว่าจะลดค่าโรงกลั่นและไปเจรจา ตนเองอยากถามว่าไปเจรจาแล้วหรือยัง และได้ข้อสรุปอย่างไร และที่บอกว่าจะลดค่าการตลาดนั้นมีการทำหรือยัง ได้ผลอย่างไร นโยบายการใช้พลังงานทั้ง LPG  NGV รัฐบาลได้ทำหรือยัง ก่อนหน้านี้มีการรณรงค์ให้ประชาชนใช้ แต่ช่วงหลังทางปั๊มแจ้งว่าปิดแล้วเพราะรัฐบาลไม่ชดเชย และราคาเท่ากับดีเซล ยังแนะนำให้เอาถึงแก๊สที่ติดในรถยนต์ออกด้วย ซึ่งราคาแก๊สแพงเพราะค่าการตลาด ตั้งแต่ ก.ค. ราคาขาย 34.84 บาท ใช้เงินกองทุน 3.82 บาท ตอนนี้มาขอกู้อีก 1.5 แสนล้านบาท ตนเองเชื่อว่าไม่พอแน่นอน เพราะในช่วง 4-5 เดือนนี้จะมีการใช้พลังงานสูงมาก ราคาต้นทุนพลังงานก็สูงขึ้น แม้จะไม่มีสงครามยูเครน-รัสเซียก็ตาม

"แม้ร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้มีไม่กี่มาตรา  แต่มีราคามาตราละประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท หรือ 1.5 แสนล้านบาทใน 1 ปี  หากรัฐบาลนี้บริหารค่าการตลาดดีๆ ลดลงแล้วเท่าไหร่  ค่ากำไร ค่าโรงกลั่นต้องพูดให้เคลียร์ และที่สำคัญกรณีพิพาทระหว่าง บ.โททาลฯ และเชฟรอนเรื่องแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญที่จะทำการผลิตกระแสไฟฟ้ามีการแก้ไขปัญหาอย่างไร ดังนั้น หากรัฐบาลแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ก็อาจจะกู้แค่ 6 หมื่นล้านบาท" นายจิรายุระบุ

บี้เก็บภาษีลาภลอย

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ชี้แจงประเด็นเรื่องค่าการกลั่นว่า หากจะเก็บเงินจากโรงกลั่นเข้ากองทุนต้องพิจารณาให้ดี เพราะอาจจะกระทบต่อกำลังการผลิต ซึ่งมีหลายประเทศ เช่นเวียดนามที่ได้รับผลกระทบจนน้ำมันมีไม่เพียงพอใช้ในประเทศมาแล้ว

ขณะที่นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ชี้แจงแนวทางการเก็บ ค่าการกลั่นกับโรงกลั่นเข้ากองทุนว่า เรื่องนี้เคยมีการหารือมาแล้ว และได้หารือกับสำนักงานกฤษฎีกาว่า หากมีการเก็บภาระการเก็บอาจตกไปอยู่กับประชาชนในรูปแบบการเพิ่มราคาน้ำมันอีกทอดหนึ่งได้  เรื่องนี้ต้องพิจารณาและเตรียมวางแผนให้รอบคอบเกี่ยวกับแนวทาง ขณะนี้ค่าการกลั่นจากที่เคยอยู่ที่ลิตรละ 5บาท ตอนนี้อยู่ที่ 2-3 บาท ทางกระทรวงจะหารือและวางมาตรการรองรับเกี่ยวกับค่าการกลั่น หากมีแนวโน้มกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถามว่าต้นทุนค่าการกลั่นที่แท้จริงในประเทศอยู่ที่ลิตรละเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นข้อกล่าวหาที่ว่ามีการอุ้มนายทุนก็จะเป็นจริงตามที่สงสัย และที่เคยรับปากว่าจะนำเงินกำไรส่วนเกินของโรงกลั่นมาให้กองทุนเพื่อชดเชยให้กับประชาชน วันนี้ยังไม่เห็นสักบาท และที่ปลัดพลังงานชี้แจงว่าหากเก็บค่าการกลั่นอาจจะเพิ่มภาระให้ประชาชน โดยจะทำให้ราคาน้ำแพงขึ้นไปอีก ถามว่าในเมื่อใช้มีอำนาจในมือออก พ.ร.ก.อุ้มโรงกลั่นได้เป็นแสนล้านบาท ทำไมไม่ใช้อำนาจออก พ.ร.ก.เก็บภาษีลาภลอยโรงกลั่นเข้ากองทุนน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบต่อ พ.ร.ก. ด้วยคะแนนเสียง 239 เสียง ต่อ 166 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง

ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เรื่องค่าการกลั่น ซึ่งวันนี้รัฐบาลควรเข้ามาบริหารจัดการ เพื่อปรับโครงสร้างราคาน้ำมันผ่านการกำหนดค่าการกลั่น ทั้งนี้ มาตรการเพิ่มเติมที่ทางพรรคเสนอแนะ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการออกกฎหมายให้มีความชัดเจน เพื่อให้โรงกลั่นเกิดความมั่นใจ

ค่าแท็กซี่ขึ้นจ่อคอ

วันเดียวกัน ที่กระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษา รมว.คมนาคม,  นางสุขสำรวย วันทนียกุล เลขานุการ รมว.คมนาคม พร้อมนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ร่วมประชุมหารือกับผู้แทน 4 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมแท็กซี่สาธารณะไทย สมาคมประสานงานรถรับจ้างสุวรรณภูมิ สมาคมผู้ขับรถแท็กซี่สาธารณะ สมาคมแท็กซี่ยานยนต์ไฟฟ้า และ บจก.โฮวา เพื่อติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการพิจารณาปรับอัตราค่าโดยสารแท็กซี่มิเตอร์

นายจิรุตม์กล่าวว่า ในมติที่ประชุมครั้งนี้ เห็นชอบแนวทางการปรับขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่ตามที่ ขบ. และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เสนอว่าจะปรับอัตราค่าโดยสารในราคาที่เหมาะสมดังนี้ ระยะทาง 1 กม.แรก รถเล็ก 35 บาท รถใหญ่ 40 บาท, ระยะทาง 2-10 กม. รถเล็ก กม.ละ 6.5 บาท รถใหญ่ กม.ละ 6.5 บาท, ระยะทาง 11-20 รถเล็ก กม.ละ 7 บาท รถใหญ่ กม.ละ 7 บาท, ระยะทาง 21-40 กม. รถเล็ก กม.ละ 8 บาท รถใหญ่ กม.ละ 8 บาท, ระยะทางเกินกว่า 41-60 กม. รถเล็ก กม.ละ 8.5 บาท รถใหญ่ กม.ละ 8.5 บาท, ระยะทาง 61-80 กม. รถเล็ก กม.ละ 9 บาท รถใหญ่ กม.ละ 9 บาท, ระยะทาง 81 กม.ขึ้นไป รถใหญ่ กม.ละ 10.5 บาท รถใหญ่ กม.ละ 10.5 บาท ค่ารถติด กรณีรถเคลื่อนที่ได้ช้ากว่า 6 กม./ชม. รถเล็ก 3 บาทต่อนาที รถใหญ่ 3 บาทต่อนาที

"หลังจากประชุมครั้งนี้แล้ว ขบ.จะรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เห็นชอบมติผลประชุมครั้งนี้ ภายใน 1-2 สัปดาห์ หากได้รับความเห็นชอบแล้ว ต้องมีการประกาศกฎกระทรวงในการปรับขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่ โดยมี รมว.คมนาคมเป็นผู้ลงนาม เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป" นายจิรุตม์ระบุ

นายจิรุตม์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในการปรับขึ้นค่าโดยสารครั้งนี้ มีผลเฉพาะแท็กซี่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ที่อยู่ในระบบทั้งหมด 80,000 คัน จากที่ให้บริการจริงในปัจจุบัน 60,000 คัน โดยหลังจากมีมติให้ปรับขึ้นค่าโดยสารแล้ว จำนวนรถแท็กซี่ที่มีอยู่ต้องนำมาปรับจูนมิเตอร์ค่าโดยสารใหม่ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ส่วนแท็กซี่ต่างจังหวัดในการปรับขึ้นค่าโดยสารนั้นสำนักงานขนส่งจังหวัดในพื้นที่ต่างๆ จะเป็นผู้พิจารณา เนื่องจากแท็กซี่ต่างจังหวัดมีอัตราค่าโดยสารที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่ดัชนีราคาผู้บริโภค โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดเมืองท่องเที่ยว เช่น เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ภูเก็ต มีอัตราค่าครองชีพสูงมาก ทำให้อัตราค่าโดยสารไม่เท่ากัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง