‘ป้อม’เย้ยม็อบ3นิ้วมีไม่กี่คน ‘รุ้ง-เบนจา’นอนคุกคดี112

บช.น.แจงเหตุผู้ชุมนุม 14 พ.ย.ถูกยิงไม่ใช่ฝีมือตำรวจ ยันดูแลม็อบตามหลักสากล ใช้กระสุนยางเท่านั้น "บิ๊กป้อม" ไม่ให้ราคาม็อบ 3 นิ้ว เย้ย "มีแค่ 200-300 คน กับคน 70 ล้านคน คุณจะเอายังไง" ขณะที่ "ฝ่ายค้าน" ตำหนิการใช้ความรุนแรงกับม็อบ ชง กมธ.สอบข้อเท็จจริงปมยิงกระสุนใส่ผู้ชุมนุม "ไทยภักดี" ซัด "3 นิ้ว" สร้างวาทกรรมบิดเบือน ย้อนเจ็บถ้าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะตัดคอใครทำได้เลย “รุ้ง” ไม่รอดศาลไม่ให้ประกันตัวคดี “ครอปท็อป” ยกคำร้องค้านฝากขัง “เบนจา” อนุญาตฝากต่ออีกแค่ 7 วัน

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น. แถลงชี้แจงกรณีมีการแชร์ภาพและข้อความกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมาถูกตำรวจยิงด้วยกระสุนจริงว่า ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดำเนินการตามหลักสากล โดยใช้กระสุนยางเท่านั้น และกรณีนี้ที่มีผู้บาดเจ็บ จะต้องทำการพิสูจน์ทราบว่าเกิดจากอาวุธชนิดใด ซึ่งจะต้องใช้เวลาเพื่อที่จะรวบรวมพยานหลักฐานพิสูจน์ถึงตัวผู้กระทำความผิด และกรณีข้อมูลที่มีการกล่าวหาในโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งไร้พยานหลักฐานนั้น เป็นการสร้างความสับสนในสังคมให้เกิดความเกลียดชังเจ้าหน้าที่ จากนี้จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือนข้อมูลดังกล่าวอีกส่วนหนึ่งด้วย

“ขอย้ำเตือนไปยังผู้ที่คิดก่อเหตุความไม่สงบ และผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมโดยผิดกฎหมายว่า หากมีการก่อเหตุสร้างความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนในบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปดำเนินคดีกับผู้ที่ก่อเหตุดังกล่าวทุกราย แม้กรุงเทพมหานครจะถูกปรับให้เป็นพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวแล้วก็ตาม แต่การชุมนุมหรือรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่มีลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรคนั้น ยังคงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ จึงขอความร่วมมือประชาชนงดการร่วมกิจกรรมการชุมนุมต่างๆ เพื่อความสงบสุขและความปลอดภัยโดยรวมของประเทศชาติและประชาชน” พล.ต.ต.จิรสันต์กล่าว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมของกลุ่มที่ต้องการให้เกิดการปฏิรูปในหลายๆ ประเด็น แต่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ว่า "มีไม่กี่คนหนิ ก็มีแค่ 200-300 คน กับคน 70 ล้านคน คุณจะเอายังไง"

เมื่อถามว่า ทุกอย่างจะราบรื่นดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ราบรื่นดี"

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พท. กล่าวว่า พรรคฝ่ายค้านมีความห่วงใยสถานการณ์บ้านเมือง หลังจากมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา เนื่องจากคำวินิจฉัยมีผลผูกพันทุกองค์กร หากผู้นำไปบังคับใช้ปฏิบัติมิชอบ หรือใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ก็อาจจะสร้างความแตกแยกวุ่นวายให้เกิดขึ้นได้ ดังนั้นขอให้ผู้ที่นำไปปฏิบัติ ทั้งกับผู้ที่ชุมนุมหรือไล่ล่าที่จะยุบพรรค ควรปฏิบัติด้วยความชอบธรรม ตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม นอกจากนี้เรายังห่วงเรื่องการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อคืนวานนี้ ที่มีผู้บาดเจ็บจากอาวุธปืนจากการชุมนุมที่แยกปทุมวัน ขอตำหนิการใช้ความรุนแรงแบบนี้ และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้เวทีสภาเพื่อมาพูดคุยกัน โดยเราจะส่งเรื่องให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต และ กมธ.พัฒนาการเมืองเข้าไปศึกษาและตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งกระตือรือร้นในการสืบสวนข้อเท็จจริง นำคนที่กระทำความผิดใช้กระสุนจริงยิงผู้ชุมนุมมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเร็วที่สุด อยากให้ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ไม่ใช่กระตือรือร้นที่จะปราบปรามการแสดงออกของประชาชน เอาแต่ป้ายสีประชาชนว่าเป็นขบวนการล้มล้างการปกครอง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง โพสต์เฟซบุ๊กว่า "ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวว่าล้มล้างการปกครอง และส.ว.กับพรรครัฐบาลแสดงท่าทีคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ทั้งหมดนี้คือการปฏิเสธทุกข้อเรียกร้อง ปิดทุกประตูทางออก ดูแล้วเด็กคงไม่ถอย ขณะที่ผู้ใหญ่ไม่สำนึกถึงความเปลี่ยนแปลง หลังจากนี้จะมีแต่การเผชิญหน้า เพราะฝ่ายรัฐคิดว่าได้เปรียบ ขณะที่นักศึกษาก็หลังชนฝา สู้ก็ติดคุกไม่สู้ก็ไม่มี รัฐสภาควรผ่อนคลายแรงเสียดทาน อย่าตัดขาดข้อเรียกร้องเรื่องรัฐธรรมนูญของประชาชน ที่เคยเห็นสังคมแบบนี้ปลายทางส่วนใหญ่ไม่ใช่ความผาสุกแต่เป็นกลียุค"

นายสุขสันต์ แสงศรี โฆษกพรรคไทยภักดี กล่าวว่า กลุ่มผู้ชุมนุมสร้างวาทกรรมหลอกลวงบิดเบือนอย่างน้อย 2 วาทกรรม คือ 1."ไม่เอาสมบูรณาญาสิทธิราชย์" คนคิดวาทกรรมแบบนี้มาหลอกให้คนออกมาทำลายประเทศ ทำลายตัวเอง ถือว่าชั่วช้ามาก เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือการปกครองโดยที่ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียว กษัตริย์เท่ากับกฎหมาย จะตัดคอใคร จะลงโทษใคร ทำได้เลย ไม่ต้องมีกระบวนการใดๆ ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง และปัจจุบันบ้านเมืองพัฒนามาไกลมากแล้ว ใครได้ยินคนบิดเบือนเช่นนี้ฟันธงว่าเป็นพวกที่คิดล้มล้างการปกครองอย่างชัดเจน 2.วาทกรรม "ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง" วาทกรรมนี้ต้องอธิบายด้วย "พฤติกรรม" เช่นการด่าทอให้ร้าย บิดเบือน เผาทำลายพระบรมฉายาลักษณ์หรือทรัพย์สินราชการ ถ้าจะปฏิรูปจริงๆ ต้องเริ่มจากปฏิรูปพฤติกรรมตนเองเสียก่อน

ที่บริเวณหน้าป้ายมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝั่งถนนมะลิวัลย์ อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น มีกลุ่มชาวขอนแก่นรักบ้านเกิดเมืองนอน นำโดย น.ส.วรพรรณ เบญจวรกุล แกนนำกลุ่ม นำสมาชิกมารวมตัวกันร้องเพลงบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และร่วมรณรงค์ให้เกิดการส่งเสริมในเรื่องความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมทั้งฝ่ายปกครองเฝ้าสังเกตการณ์และรักษาความปลอดภัยตลอดทั้งช่วงของการจัดกิจกรรม

ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดสอบคำให้การคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์, น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล, น.ส.เบนจา อะปัญ, นายภวัต หิรัณย์ภณ และนายภาณุพงศ์ หรือไมค์ จาดนอก ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18- 20 ธ.ค.63 จำเลยร่วมกันกระทำผิดโดยนายพริษฐ์ และ น.ส.ปนัสยา จำเลยที่ 1-2 แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์ข้อความลงในเพจเฟซบุ๊ก “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” และเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมกิจกรรมสวมเสื้อผ้าครอปท็อป (ชุดเสื้อกล้ามเอวลอย) แล้วไปเดินที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยวันดังกล่าวจำเลยทั้งห้าสวมชุดเสื้อกล้ามเอวลอย เขียนข้อความที่แขนและบริเวณเอว “ยกเลิก 112 ปฏิรูปสถาบันฯ” และข้อความล้อเลียนอื่นๆ โดยมีแนวร่วมและผู้ชุมนุมจำนวนมาก ก่อนที่ สน.ปทุมวันจะแจ้งดำเนินคดีกับพวกจำเลย

โดยชั้นสอบสวนพวกจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ศาลประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาหมายเลขดำ อ.1180/2564 และอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว น.ส.เบนจา และนายภวัต จำเลยที่ 3-4 ปรับคนละ 2 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้งสองกระทำการใดๆ ในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหาตามฟ้อง อันเป็นที่เสื่อมเสียต่อสถาบันฯ หรือเข้าร่วมกิจกรรมใด หรือการชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

นัดสอบคำให้การวันนี้จำเลยมาศาล ศาลสอบคำให้การเเล้วจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลจึงนัดคุ้มครองสิทธิ 26 พ.ย.64 (นัดสอบถามทำความเข้าใจ) และนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 24 ม.ค.65

ต่อมาเวลา 17.34 น. นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว โดยศาลให้เหตุผลว่าพิเคราะห์เเล้วจำเลยที่ 2 ภายหลังถูกฟ้องคดีนี้เเล้ว ก็ได้เคยกระทำความผิดตามลักษณะเดียวกับที่ถูกฟ้องมา และจำเลยที่ 2 ยังถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันที่ศาลอาญา จึงเกรงว่าถ้าปล่อยไปจะไปกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันอีกจึงให้ยกคำร้อง

นอกจากนี้ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลยังไต่สวนคำร้องขอคัดค้านการฝากขัง น.ส.เบนจา อะปัญ ในคดีที่พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ยื่นคำร้องฝากขัง ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่าห้าคนในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และร่วมชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค จากการชุมนุมคาร์ม็อบเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ท้องที่ สน.ทองหล่อ โดย น.ส.เบนจาอ่านประกาศแถลงการณ์ 5 ข้อเรียกร้องที่หน้าบริษัทซิโน-ไทยฯ โดยไต่สวนแล้วศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังต่อได้อีก 7 วัน (เดิมฝากได้เต็มครั้งละ 14 วัน).

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง