บัตรคนจนรอบใหม่13ล้าน

“คลัง” เร่งเครื่องสรุปบัตรคนจนรอบใหม่ เผยเหลือผู้ได้รับสิทธิ์ใกล้เคียงรอบก่อนที่ 13 ล้านคน จากผู้ลงทะเบียน 20 ล้านคน ฟุ้งเศรษฐกิจไทยโตสวนโลก  ท่องเที่ยวหนุนเต็มพิกัด ธปท.แจงทยอยขึ้นดอกเบี้ยให้เข้าสู่ระดับปกติ คาดจีดีพีปี 66 โต 3.7% เอกชนชงรัฐบาลใหม่สานต่อ "ช้อปดีมีคืน" จัด 3 ครั้ง/ปี

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ ปี 2566 ในงาน Thailand Future Economic Forum 2023 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีเพียงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย แม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีกว่าที่คาด แต่ในช่วงไตรมาส 1/2566 ภาคการส่งออกในเชิงปริมาณหดตัว แต่มูลค่ายังแข่งขันได้เพราะเงินบาทอ่อนค่า ยืนยันว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่เราไม่ชะลอด้วย โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มองว่าการขยายตัวเศรษฐกิจไทยยังโตเป็นบวกได้เพียงไม่กี่ประเทศ แต่สิ่งที่ต้องทำเพื่อสนับสนุนการส่งออกคือการมองหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้าน ในกลุ่มสินค้าเอสเอ็มอี

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะได้รับขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว ที่ฟื้นตัวดีกว่าที่คาด รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศ ที่ได้อานิสงส์จากมาตรการของรัฐ เช่น ช้อปดีมีคืน โดยการใช้จ่ายขยายตัวในระดับ 3-4% เป็นการขยายตัวในระดับที่เหมาะสม ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ก็ต้องดูภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงว่ามีเหตุการณ์ให้ต้องเตรียมตัวอย่างไร ที่สำคัญส่วนที่จะเป็นส่วนช่วยเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นคือการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งโครงการลงทุนในอีอีซี ที่จะต้องเร่งเข้ามาในปีหลังจากช่วงโควิด-19 ระบาด ที่การลงทุนมีการชะลอตัวลงไปมาก

รมว.การคลังกล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 (บัตรคนจน) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน เบื้องต้นคาดว่าจำนวนผู้ลงทะเบียนที่กว่า 20 ล้านคน เมื่อผ่านการคัดกรองร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จะเหลือผู้ที่ได้รับสิทธิ์ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินใหม่ ใกล้เคียงกับรอบที่ผ่านมาที่ประมาณ 13 ล้านคน โดยคลังกำลังเร่งพิจารณารายชื่อเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนจะทันจ่ายเงินวันที่ 1 มี.ค.2566 หรือไม่ ต้องไปดูตารางเวลาอีกครั้ง ว่าจะต้องมีการปรับแก้ไขอะไรหรือไม่

ด้านนายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังไม่ได้อยู่ในระดับปกติ และยังคงอยู่ในขั้นตอนของการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อเข้าสู่ระดับปกติ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังไม่อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ยังมีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะสามารถเติบโตได้ 3.7% ดีขึ้นจากปี 2565 และคาดว่าในปี 2567 จะเติบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ น่าจะเริ่มชะลอตัวลงจากปีก่อน โดยอยู่ในระดับที่ทรงตัว เชื่อว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในปี 2567 ดังนั้นนโยบายการเงินจึงยังไม่สามารถผ่อนคลายได้โดยเร็วนัก

วันเดียวกัน นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวถึงมาตรการ “ช้อปดีมีคืน 2566” ที่เพิ่งสิ้นสุดการใช้จ่ายวันสุดท้ายไปแล้วว่า  ประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขาย 10%  ในสินค้าหลากหลาย โดยเฉพาะสินค้าไลฟ์สไตล์ ประเภทไม่ใช่อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ในส่วนนี้จะมียอดขายโตราว 15-20 % โดยรวมแล้วปีนี้คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์รวม 2.1 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิ์ 4 ล้านคน วงเงินใช้จ่ายราว 6.3 หมื่นล้านบาท และคาดจะมีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนประมาณ 30,000 บาท เพราะต้องยอมรับว่าผู้ที่มีการลงทะเบียนเพื่อใช้ระบบซื้อสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีใบกำกับภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีน้อยมีราว 1,500 ร้านค้าเท่านั้น

"อยากเสนอไปยังพรรคการเมืองต่างๆ ที่กำลังหาเสียง และหากจะเข้ามาเป็นรัฐบาลในอนาคต ควรกำหนดมาตรการรูปแบบ “ช้อปดีมีคืน” เข้าไปเป็นนโยบายรัฐบาล โดยขอให้จัด "ช้อปดีมีคืน” 3 ครั้ง/ปี ตามช่วงเทศกาลต่างๆ ได้แก่ เฟส 1 ช่วงเทศกาลปีใหม่ 1 มี.ค.-15 เม.ย., เฟส 2 ช่วง Low Season 15 ก.ค.-31 ส.ค. และเฟส 3 ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  15 พ.ย.-31 ธ.ค. ซึ่งคาดเม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และที่สำคัญคาดว่าเม็ดเงินภาษีที่รัฐบาลจะเสียจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น นับว่าคุ้มค่ากับการลงทุน" นายฉัตรชัยระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ

"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์