‘ชูวิทย์’แฉอัปวีซ่าจ่าย2แสน

     เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา (ส.ว.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม  ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล  อภิปรายเชื่อมโยงข้อมูลนายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. เกี่ยวข้องกับกระบวนการฟอกเงินยาเสพติด และให้ตึกเป็นที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นั้น ส.ว.จะสามารถเรียกนายอุปกิตมาสอบจริยธรรมหรือดำเนินการอื่นใดควบคู่กันไปได้หรือไม่ ว่าเรื่องนี้เป็นคดีความ โดยนายอุปกิตฟ้องนายรังสิมันต์ไปแล้ว ดังนั้นก็ยังไม่ดำเนินการอะไร เพราะว่าไม่ได้มีการยื่น และยังไม่ได้ทราบข้อมูลอย่างเเท้จริง อีกทั้งตนยังไม่ได้ฟังการอภิปรายจากนายรังสิมันต์ แค่ฟังมาจากข่าวเท่านั้น ซึ่งเห็นทางนายอุปกิตก็ไปฟ้องทันที ดังนั้นการดำเนินการทางจริยธรรมของส.ว.ยังไม่ได้มีการดำเนินการ

     เมื่อถามว่า ส.ว.สามารถเรียกนายอุปกิตมาสอบเอง หรือว่าต้องรอให้มีคนมาร้องก่อน และในฐานะประธาน ส.ว.สามารถเรียกนายอุปกิตมาดำเนินกระบวนการสอบถามข้อเท็จจริงได้เอง หรือไม่ และเรื่องนี้กระทบกับ รทสช. รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯด้วย นายพรเพชรตอบว่า เรื่องนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน และปกติแล้วเรื่องการอภิปรายก็เป็นเรื่องการอภิปรายในที่ประชุม ซึ่งก็ดีแล้วที่นายอุปกิตไปฟ้องทันที ก็คงจะเป็นเรื่องที่ต่อสู้กันไปก่อน และเรื่องไปถึงศาล เดี๋ยวคอยดูกันก่อนว่าเป็นอย่างไร ตนก็ตอบได้เท่านี้

     ถามย้ำว่า หากมีผู้มาร้อง คณะกรรมการจริยธรรม ส.ว.สามารถหยิบขึ้นมาสอบได้เลยหรือไม่ นายพรเพชรตอบว่า คือมันจะมีขั้นตอนในเรื่องจริยธรรมอยู่ เป็นขั้นตอนที่จะต้องส่งเรื่องไปให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง คือเจ้าหน้าที่ศึกษาข้อมูลก่อน ปกติที่ผ่านมามีร้องเข้ามาหลายเรื่องเเล้ว โดยมีการหาข้อเท็จจริง แต่ว่าไม่เกี่ยวกับกรณีส.ว.อุปกิตนะ เพราะเรื่องเพิ่งจะเริ่ม และท่านก็ไปฟ้องเเล้ว พอไปฟ้องแล้วโอกาสที่จะไปแทรกเเซงก็ลำบาก ย้ำว่าปกติถ้าไม่มีใครยกขึ้นมา เราจะดำเนินการสอบกันเอง นอกจากสมาชิกจะร้องหรือคนอื่นจะร้องเข้ามา ทั้งนี้ เขาไปฟ้องร้องกันเองก็ดีเเล้ว เพราะว่าก็อาจจะมีกรณีฟ้องกลับหรืออะไรกัน ก็เป็นเรื่องของตัวบุคคลกันเเล้ว

     เมื่อถามอีกว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่า ส.ว.จะไม่ปกป้องกันเอง นายพรเพชรตอบว่า มันก็มีการดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่ง ส.ว.ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผ่านมาก็มีการร้องเข้ามาอยู่บ้าง และก็ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ไม่ใช่ว่าเราจะไปดำเนินการโดยไม่มีหลักฐานหรือมีข้อมูลผู้กล่าวอ้างที่ชัดเจน ย้ำว่าเรื่องนี้เขาไปฟ้องเป็นคดีความกันเเล้ว ทาง ส.ว.เราเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเรื่องเป็นคดีถึงศาลแล้ว

     ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. ฟ้องฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เมื่อวันที่ 16 ก.พ.66 ที่เปิดข้อมูลว่านายอุปกิตเกี่ยวข้องกับกระบวนการฟอกเงินยาเสพติด และให้ตึกเป็นที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ยืนยันว่าเป็นการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชน และเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การยื่นฟ้องเช่นนี้เป็นการพยายามเดิมๆ ที่คนแบบนายอุปกิตชอบทำ โดยคิดว่าการสร้างความหวาดกลัวด้วยการฟ้องร้องเรียกเงินจำนวนมากจะสามารถปิดปากไม่ให้เราทำหน้าที่ ต้องไม่ลืมว่าการฟ้องดังกล่าวถือเป็นพยานหลักฐาน และตนก็ไม่เห็นว่านายอุปกิตระบุว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นการปลอมแปลงข้อมูล

     นอกจากนี้ ตนยังต้องการทำให้ประชาชนได้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมที่ทำต่อ ส.ว.ทรงเอ หรือนายอุปกิต เป็นอย่างไร และเรื่องนี้ต้องไปว่ากันในศาล ตนคาดหวังว่าตำรวจจะดำเนินคดีกับนายอุปกิต เหมือนกับกรณีของนายหยู ซินฉี ที่เพิ่งถูกจับกุมตัวไป เมื่อหลักฐานทุกอย่างชัด ถ้าตำรวจไม่ทำ ตนจะเอาเรื่องกับตำรวจ ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นต้องให้ตนไปยื่น เพราะตำรวจควรจะทำหน้าที่ของตัวเอง

     เขากล่าวว่า ในวันที่ 28 ก.พ.จะหมดสมัยประชุมสภาฯ ความคุ้มกัน ส.ว.ในการออกหมายจับและหมายเรียกจะหมดลงเช่นกัน จึงหวังว่าวันที่ 1 มี.ค. จะเป็นวันเริ่มต้นที่ ส.ว.อุปกิตจะต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ตำรวจจะต้องทำอะไรกับเรื่องนี้ ตนจับตาดูว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ในฐานะผู้รับผิดชอบ จะกล้าทำหน้าที่ที่ตัวเองควรจะทำหรือไม่

     ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ไม่ชี้แจงที่หลานตัวเองเกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าวหรือไม่นั้น นายรังสิมันต์กล่าวว่า กรณีหลานของ พล.อ.ประยุทธ์ จะดำเนินการร้องไปที่อัยการสูงสุด แต่ความจริงสิ่งที่พูดในสภา ทุกคนควรจะรับรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จึงคาดหวังกับอัยการสูงสุดว่าถึงเวลาต้องเรียกหลาน พล.อ.ประยุทธ์มาสอบสวน หรือถ้าสอบสวนหลาน พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ช่วยชี้แจงแถลงไขให้ประชาชนไขข้องสงสัยด้วยว่าหลาน พล.อ.ประยุทธ์ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดรถทัวร์ขนนักท่องเที่ยวจีนไปเสพยาอย่างไร จากนี้ตนคงจะใช้เวลาช่วงนี้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปจนกว่าจะพ้นจากการเป็นส.ส.

     ด้านนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่า  การถูกฟ้องร้องหลังการอภิปรายมีเกือบทุกครั้งที่พูดถึงผู้ที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภา ซึ่งก็ต้องสู้คดีไป เพราะเป็นการทำหน้าที่ได้สุจริต ไม่ได้มีเจตนาไปใส่ความใคร และมีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ในชั้นศาล จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอะไร เมื่อมีการฟ้อง เราก็มีทนายสู้ อย่างไรก็ตาม การฟ้องมีหลายแบบ คือการฟ้องเพื่อหวังผลแพ้ชนะ กับการฟ้องแก้เกี้ยว ต้องดูเนื้อฟ้องว่าเป็นอย่างไร การฟ้องของนายอุปกิตอาจจะยิ่งทำให้มีอำนาจในการออกหมายเรียกพยานเอกสารและพยานวัตถุ จนสามารถสอบลึกลงไปอีก

     สุดท้ายจะเป็นผลดีกับผู้ฟ้องหรือไม่ต้องดูกัน แต่อาจจะถอนฟ้องก็ได้ เพราะจำเลยสามารถสู้คดีได้อย่างเต็มที่ และอาศัยอำนาจศาลไปเรียกคนมาสอบจนลึกกว่าเดิมหรือไม่ และจะได้เห็นว่าการฟ้องเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท จะคุ้มค่าหรือไม่ เพราะอาจจะไม่ชนะ จึงขอให้นายอุปกิตลองกลับไปทบทวนดู

     นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์จะชี้แจงในที่ประชุมสภา เป็นการเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่นว่า ก่อนอื่นนายณัฐวุฒิควรต้องยอมรับความจริงก่อนว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนปี 2557 แต่เมื่อท่านนายกฯ ทราบเรื่อง ก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนทันที จนทราบว่ามีการไปซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบยกหมู่บ้าน จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่า ขายบ้านแถมสัญชาติ ซึ่งเมื่อความจริงค่อยๆ กระจ่าง เข้าใจได้ว่าหลักฐานที่ปรากฏ แม้ว่าจะถูกต้อง แต่อาจไม่ถูกใจหรือไม่ทันใจนายณัฐวุฒิและพรรคเพื่อไทยอยู่บ้าง แต่ก็ควรหัดยอมรับความจริงด้วยว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่แล้ว มีการจับกุมและขยายผลจนได้ผู้ต้องหาหลายราย บางรายที่หลบหนีก็ออกหมายจับ และอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

     ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ถูกมองว่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก็มีการตั้งกรรมการสืบสวนสอบสวน มีคำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อนไปแล้ว รวมถึงดำเนินคดีอาญาตามกฎหมาย หากพบว่ามีความผิดจริง ดังนั้นอย่าพยายามโยงเรื่องนี้แบบแถเข้าว่าเพื่อให้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลนี้ให้ได้ ทั้งๆ ที่หลักฐานก็เห็นอยู่ตำตาว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ส่วนประเด็นการคอร์รัปชันหรือไม่นั้น คิดว่าประชาชนคงเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่ารัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคไหนที่มีปัญหาเรื่องคอร์รัปชัน รัฐมนตรีในรัฐบาลไหนที่ติดคุกไปแล้วตั้งหลายคน ขณะที่ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ยังไม่มีรัฐมนตรีคนไหนที่ติดคุกเลยสักราย

     “เรื่องสัญชาติของนายตู้ห่าว ที่ขอแปลงสัญชาติไทย ก็ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าได้ร้องขอแปลงสัญชาติโดยใช้สิทธิตามกฎหมายหลังแต่งงานกับคนไทยสัญชาติไทย โดยยื่นขอตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งผู้มีอำนาจในการอนุญาตคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเองใช่หรือไม่ ที่อนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทยได้เมื่อปี 2556 ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยอยากจะเกาะกระแสเรื่องนี้ ก็ควรเริ่มต้นจากการตอบคำถามก่อนว่า ภรรยาของนายตู้ห่าวมีศักดิ์เป็นหลานของอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคที่นายณัฐวุฒิรู้จักดีใช่หรือไม่ และภรรยา ส.ส.คนไหนที่ไปมีหุ้นอยู่ด้วย ออกมายืดอกรับความจริงกับสังคมบ้างว่า สรุปแล้วภรรยาของนายตู้ห่าว มีความเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลพรรคไหนกันแน่ อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าสิ่งที่คุณณัฐวุฒิและพรรคเพื่อไทยกำลังทำอยู่ในขณะนี้ต่างหาก ที่เขาเรียกว่าพยายามเอาชั่วให้คนอื่น” นายธนกรกล่าว

     วันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คุมตัวนายหยู ซินฉี ประธานสมาคมมณฑลส่านซีแห่งประเทศไทย มาตรวจค้นบ้านพักหรูภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านวัชรพล โดยวันนี้ตำรวจได้นำหมายค้นเข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน หลังจากที่ได้เชิญตัวนายหยู ไปสอบสวนเมื่อวันที่ 17 ก.พ.

     สำหรับการตรวจค้น ตำรวจสืบสวนได้นำเอกสารที่อยู่ในบ้านและรถยนต์ของนายหยูไปตรวจสอบเรื่องการจัดตั้งสมาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งการแอบอ้างในเรื่องต่างๆ ซึ่งตำรวจก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปพอสมควร และอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในวันจันทร์ที่ 20 ก.พ.นี้

     นอกจากนั้น ตำรวจยังได้เข้าตรวจค้นห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านถนนเสนานิคม 1 เนื่องจากพบว่าเคยเป็นที่ตั้งของที่ทำการสมาคมแห่งนี้ แต่ปัจจุบันพบว่านายหยู ได้เลิกเช่าไปแล้ว

     ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า จากการตรวจค้นวันนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดพยานหลักฐานเอกสารสำคัญ รวมถึงภาพถ่ายของนายหยู ซินฉี ที่ถ่ายรูปคู่กับบุคคลสำคัญ ตลอดจนหลักฐานการเรี่ยไรเงินที่นายหยู ซินฉี นำไปใช้แอบอ้าง ซึ่งการที่เขาสามารถเปิดสมาคมได้ สำหรับคนจีนด้วยกันถือว่าการตั้งสมาคมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มีหน้ามีตา จากนั้นเขาจะใช้สมาคมเป็นฉากหน้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้คนจีนด้วยกันได้เห็น ก่อนจะมีการถ่ายรูปบุคคลสำคัญ ถ่ายรูปผู้ใหญ่ เพื่อนำไปใช้กระทำความผิดหลอกคนจีนในไทยเพื่อเรี่ยไรเงิน

     จากการตรวจค้นในวันนี้เจ้าหน้าที่เตรียมรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อที่จะแจ้งข้อกล่าวหากับนายหยู ซินฉี ประกอบไปด้วย 3 ข้อหาหลักคือ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร, การตั้งสมาคมเถื่อนหรือจัดตั้งสมาคมโดยไม่มีใบอนุญาต อย่างไรก็ตามได้เพิกถอนวีซ่าของนายหยู ซินฉี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะเป็นขั้นตอนของทางพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลคันนายาว ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย  โดยชาวจีนรายนี้จะต้องถูกดำเนินคดีในไทย และจะทำการผลักดันออกนอกประเทศพร้อมกับขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์เป็นการถาวร ห้ามเดินทางเข้าประเทศอีกต่อไป

     ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กอีกครั้งว่า ตม.โดดเด่น จีนเทา แปลงวีซ่า ข้อมูลชุด “หยู ซินฉี” ที่เก็บไว้ชุดสุดท้าย ถูกส่งต่อให้ใช้อภิปรายในสภา ได้ผลตามคาดการณ์ไว้ เพราะ “ดาวสภา” ส.ส.โรม แสดงการปกป้องสถาบันจากการแอบอ้างของจีนเทาฉายา “ดร.ฉี” ได้ดีเยี่ยม

     ทันทีที่ผมพูดเปรยช่วงก่อนหน้านี้ มันขนสมาคมหนี ส่งคนไปดูอยู่เสนา ป้ายหายทันที ผมแกะรอยจึงพบว่าไปอยู่ที่หมู่บ้านที่ส่งให้ตำรวจไปจับ โดนไป 3 ข้อหา พ.ร.บ.คอมพ์, เรี่ยไร และตั้งสมาคมเถื่อน

     ไอ้ฉีเป็นจีนเทาอีกจำพวก ที่สร้างเรื่องราวของตัวเองว่าเป็นผู้สร้างสัมพันธ์จีนไทย เก่งอย่างโน้นอย่างนี้ บรรยายสรรพคุณในเว็บไซต์ภาษาจีน

     ข้อหาที่ 4 บอกได้เลยว่า บิ๊กโจ๊กต้องตั้ง “ม.112” อันนี้ชัดเจนกว่าไปตั้งให้เด็กนักศึกษา เพราะเอาตัวเองไปใกล้ชิด และเขียนไว้ว่าได้มอบของขวัญให้ผู้ที่คนไทยรักเทิดทูน ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เหตุเกิดที่งาน “เมาริดกลาง” กรุงเทพฯ ต่างหาก

     ไอ้ฉีใช้ “วีซ่าท่องเที่ยว” แล้วมาแปลงเป็น “วีซ่าเกษียณ” ที่ชลบุรี ทั้งๆ ที่ตัวอยู่กรุงเทพฯ แท้ๆ เหมือนกับที่ “จีนเทา” รู้ว่าต้องไปทำวีซ่า นักศึกษา อาสาสมัคร แถวอีสาน

     บรรดา “จีนเทา” รู้ได้อย่างไร? ก็มาจากการฮั้วกันของเอเยนต์กับ ตม. เพราะค่าหัวในการทำมีการจัดสรรทั่วถึงรายหนึ่ง ราคา 200,000 บาท ในราคานี้รวมถึงการไม่ต้องไปพบ ตม.ด้วยตัวเอง และเงินขั้นต่ำที่ระบุไว้ว่าต้องมีหากจะมาทำวีซ่าประเภทเกษียณอายุ แสดงในบัญชี 800,000 บาท ก็โกหกทั้งเพ เพราะเป็นการบริการของเอเยนต์ เอาเงิน 800,000 บาท เข้าบัญชีไว้ในวันแสดงให้ ตม.ดู

     เสร็จแล้วถอนออกจากบัญชีทันที แค่ให้เห็นชื่อผู้ขอวีซ่ากับสมุดบัญชีมีเงิน 800,000 บาท ไม่ได้ดูเลยว่าฝากมานานหรือยัง เรื่องบานปลายมาถึงขนาดนี้ ทั้ง ตม.อีสานที่ผมเคยแฉไปช่วงตู้ห่าว ฉาวโฉ่มาถึง “ไอ้ฉี” แอบอ้างเอาสถาบันมาหากินกับคนจีน

     ทุกคนล้วนผ่านกระบวนการ “โดดเด่น” ของ ตม.ทั้งสิ้น ทำให้จีนเทาพาเหรดกันเข้าเมืองไทย ด้วยผลประโยชน์ของ ตม. แต่เสียหายกับประเทศ แปลงวีซ่าได้ตามใจชอบ อยู่กรุงเทพฯ ไปทำวีซ่านักเรียนที่สกลนคร ขอนแก่น ทำท่าเอาขนมให้เด็กกิน ก็ได้วีซ่าอาสาสมัคร ทำมาหากินแอบอ้างสถาบัน ก็ขอวีซ่าเกษียณ เงินไม่มีจริง แค่จ่าย 200,000 ก็เรียบร้อยโรงเรียนจีนเทา

     ประเทศไหนเขาทำแบบนี้กันบ้าง? และไม่เคยพบเห็นประเทศอื่นว่า ตม.ไปขึ้นกับตำรวจเพราะเป็นงานความมั่นคง

     ตำรวจงานมากอยู่แล้ว โลกเปลี่ยนไป แต่ก่อน หลายอย่างขึ้นอยู่กับตำรวจจนงานท่วมหัว

     แนะนำว่า ตม.ต้องไปขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย     เพราะหากปล่อยแบบนี้ไป ได้ จีนเทา อินเดียเทา รัสเซียเทา สารพัดเทาเข้ามาประเทศไทย

     ตม.ไทยเปิดประตูอ้าแขนรับสารพัดต่างชาติเทา แต่บ้านเมืองจะมีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติยังไงไม่สน เพราะปล่อยเข้าแล้วเป็นอันหมดเรื่อง

     แถมต่อให้อีกต่างหากด้วยวิธีการพิสดารในราคา 200,000 บาท แบ่งสรรปันส่วนกันลงตัวตลอด จนต่างชาติเทาๆ ทั้งหลายแผลงฤทธิ์อย่างที่ผมเอามาแฉ

     รัฐบาลช่วยยกเครื่อง ตม.ออกจากตำรวจทีเถอะ เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ทุกวันนี้รายได้ ตม.โดดเด่นเสียเหลือเกิน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ

"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์