อ่วม!ฟ้องโรมทั่วปท. ธรรมนัสสั่งเด็กศท.จัดเต็ม/‘ทิพานัน’ชงบี้บ้านหรู

รทสช.ร่อนหนังสือสยบปมร้อนทุนสีเทา แจงเช่าตึกที่ทำการพรรคถูกต้อง ไม่เกี่ยว ส.ว. เจ้าของตึกป้อง "บิ๊กตู่" เพิ่งสมัครสมาชิกพรรค ฮึ่มดำเนินคดีผู้อภิปราย "ทิพานัน" ยันรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ปราบมาเฟีย ย้อนไทม์ไลน์มัดยุคยิ่งลักษณ์ต้นน้ำไฟเขียว “ตู้ห่าว” ถือสัญชาติไทย บี้เพื่อไทยอย่านิ่งสอบบ้านหรู “ชัยวุฒิ” ดันแก้ กม.เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี “ธรรมนัส” แย้ม “เศรษฐกิจไทย” เล็งแจ้งความ “โรม” ทั่วประเทศ ก้าวไกลกางปีกป้อง "รังสิมันต์" สั่งทีมกฎหมายตั้งรับ-สู้กลับคดี "อุปกิต" ฟ้องหมิ่น

เมื่อ​​​​​​​วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เผยแพร่หนังสือชี้แจงเรื่อง "ข้อเท็จเรื่องที่ทำการพรรค" โดยระบุว่า ตามที่มีการอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในลักษณะกล่าวหาให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า อาคารที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติเกี่ยวพันกับทุนสีเทา เนื่องจากเป็นอาคารที่เกี่ยวพันกับสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่ง ซึ่งผู้อภิปรายพยายามกล่าวหาว่าสมาชิกวุฒิสภาท่านนั้นเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการกระทำที่ผิดกฎหมายนั้น

พรรครวมไทยสร้างชาติขอแจ้งให้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ซึ่งเคยมีสื่อมวลชนบางแห่งพยายามนำเสนอข้อเท็จจริงในลักษณะดังกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว   แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่เคยปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการตั้งข้อกล่าวหาหรือมีการแจ้งข้อหาเช่นว่านั้นกับสมาชิกวุฒิสภาท่านนั้นตามกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายแต่อย่างใด นอกจากนั้น สมาชิกวุฒิสภาท่านนั้นก็มิได้เป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพรรครวมไทยสร้างชาติเลย  ดังนั้น การกระทำใดๆ ของสมาชิกวุฒิสภาท่านนั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และมิใช่การกระทำของพรรครวมไทยสร้างชาติทั้งทางตรงและทางอ้อมแต่ประการใด

นอกจากนั้น การใช้อาคารสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งจะมาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 นี้เอง ในขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติใช้อาคารสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ทำการพรรคมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ก็มิได้มีตำแหน่งบริหารใดๆ ในพรรครวมไทยสร้างชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกใช้อาคารสถานที่ใดเป็นที่ทำการพรรค

"การที่มี ส.ส.นำเรื่องดังกล่าวไปอภิปรายกล่าวหาผูกโยงสมาชิกวุฒิสภาท่านนั้นกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และ พล.อ.ประยุทธ์ เพียงเพื่อสร้างเรื่องราวการอภิปรายให้เป็นไปตามความคิดความเข้าใจของตนเองว่า อาคารที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติและ พล.อ.ประยุทธ์ กับ ส.ว.ที่ผู้อภิปรายกล่าวหานั้นมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่เป็นการกระทำที่อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงตามคำอภิปรายของ ส.ส.ผู้นั้นได้ จึงเป็นการกระทำที่เป็นการไม่รับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ และไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ผู้ที่เป็น ส.ส.ที่ดีจะพึงกระทำ" พรรค รทสช.ระบุ

รทสช.จ่อฟ้อง 'โรม'

พรรครวมไทยสร้างชาติขอเรียนว่า   พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นเพียงผู้เช่าใช้อาคารสถานที่อันเป็นที่ทำการพรรคเท่านั้น ซึ่งโดยปกติทั่วไปนั้น ผู้เช่ากับผู้ให้เช่าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันหรือที่ไม่มีการกระทำใดที่กระทำร่วมกัน จะต้องมีความรับผิดชอบหรือร่วมรับผิดในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น ไม่ว่าสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกกล่าวหาจะเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพรรครวมไทยสร้างชาติที่เป็นเพียงผู้เช่าอาคารที่จะต้องมีความรับผิดหรือต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาร่วมด้วย

ยิ่งกว่านั้น ในช่วงเวลาที่พรรครวมไทยสร้างชาติเช่าใช้อาคารดังกล่าวนั้น ก็ไม่เคยปรากฏข่าวหรือข้อเท็จจริงใดๆ ในทางสาธารณะที่เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปตามข้อเท็จจริงที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นหยิบยกขึ้นมาใช้อภิปราย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรครวมไทยสร้างชาติจะทราบล่วงหน้าหรือคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในอาคารดังกล่าวจะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำใดๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในเวลาต่อมาหรือในอนาคตได้                 

การที่มี ส.ส.พยายามผูกโยงข้อเท็จจริงในการอภิปรายให้ประชาชนเข้าใจหรือคิดว่าพรรครวมไทยสร้างชาติและพล.อ.ประยุทธ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายอย่างร้ายแรงนั้น จึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามจริยธรรมของนักการเมืองและตามกฎหมายอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติจะพิจารณาดำเนินการตามสิทธิ์และตามกฎหมายต่อไป

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน พบมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้ติดตามการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตราา 152 ชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ว่าสามารถตอบการอภิปรายของฝ่ายค้านได้ชัดเจนทุกประเด็น มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ สั้น กระชับและได้ใจความ ทำให้มีความเชื่อมั่นว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความเอาจริงเอาจังในการปราบปรามการทุจริตและการกระทำผิดกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งฝากให้กำลังใจและพร้อมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ในการทำหน้าที่ต่อไปด้วย

ส่วนกรณีรองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตอบไม่ตรงคำถาม สอบตกกลางสภา ปล่อยปละละเลยทุนจีนสีเทานั้น เป็นความเห็นส่วนตัว คงจะนำมาเป็นมาตรฐานชี้วัดอะไรไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงชัดเจนแล้วทุกประเด็น แต่อาจตอบไม่ตรงใจหรือไม่ถูกใจพรรคเพื่อไทย เพราะยิ่งตอบชัด ยิ่งกลายเป็นเรื่องขว้างงูไม่พ้นคอของพรรคเพื่อไทยหรือไม่

เนื่องจากต้นน้ำของการปล่อยให้บุคคลที่กระทำผิดกฎหมายเข้ามาทำธุรกิจสีเทา เกิดขึ้นในรัฐบาลก่อนหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามาบริหารประเทศ โดยยื่นเรื่องขอสัญชาติตั้งแต่ปี 2554 ก่อนรัฐประหารในปี 2557 ต่อมาจึงได้มีการอนุญาตเรื่องสัญชาติโดยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือว่าผ่านขั้นตอนการพิจารณามาหมดแล้ว จึงมาถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทยไปในวันที่ 6 พ.ย.2557 เพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 3 ธ.ค.2557 ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการปลายน้ำ

ย้อน พท.สอบบ้านหรูตู้ห่าว

น.ส.ทิพานันกล่าวว่า แต่เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลการกระทำที่ผิดกฎหมายจากภาคประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ทำการตรวจสอบดำเนินคดีตามกฎหมายทุกคนไม่มีละเว้น จนพบความไม่ชอบมาพากลหลายประการ ซึ่งยังพบว่าเครือข่ายเหล่านี้นำเงินผิดกฎหมายไปซื้อทรัพย์สินคืออสังหาริมทรัพย์จากโครงการหมู่บ้านหรูในบริเวณซอยลาซาล ซึ่งเป็นการซื้อเหมาเกือบยกโครงการ 50 หลัง จาก 66 หลัง อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่ปกติ จึงอยากขอเชิญชวนพรรคเพื่อไทยร่วมกันติดตามและตรวจสอบในประเด็นดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำความผิดด้วยหรือไม่ ขออย่าได้มองข้ามหรือละเว้นในประเด็นดังกล่าว 

 “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ปราบปรามมาเฟียสีเทาทุกรูปแบบ ไม่ว่ากรณีตู้ห่าวและทุนสีเทา ที่เฟื่องฟูมากี่ปีก็ตาม ก็ถูกจับและดำเนินคดีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ท่านกำลังทำงานอย่างจริงจัง ไม่ต่างกับการที่ต้องรับภาระหนี้จากโครงการจำนำข้าว ที่เกิดจากการโกงชาติ จนมีรัฐมนตรีพรรคการเมืองหนึ่งติดคุก และนายกฯ บางคนหนีไปต่างประเทศ ทิ้งไว้ให้ พล.อ.ประยุทธ์และคนไทยเข้ามาใช้หนี้และสะสางกระบวนการทุจริตอยู่ขณะนี้" รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ปัญญาทุนสีเทาเป็นเรื่องสําคัญที่รัฐบาลเอาจริงเอาจังและจะดําเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด รวมทั้งจะมีการนำมาสู่การทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐที่จะเสนอเข้าที่ประชุมพรรค เรื่องการแก้กฎหมายที่ล้าสมัย หรือที่ขัดกับวิถีชีวิตของประชาชน ต้องปรับให้ทันสมัย ให้ตรงกับหลักสากล เพื่อให้ธุรกิจไปได้ เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี ซึ่งจะทำให้ได้เงินเข้ามาพัฒนาประเทศ ธุรกิจไม่ต้องมีการจ่ายส่วย ไม่มีการคอร์รัปชัน

"แนวทางการแก้ไขปัญหา นอกจากการปราบปรามอย่างจริงจังแล้ว อาจจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเปลี่ยนส่วยให้เป็นภาษี เพื่อสกัดกั้นช่องทางเรียกรับส่วยจากผู้มีอำนาจและเจ้าหน้าที่ของรัฐ  เช่น ธุรกิจบริการบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นผับ บาร์ เป็นต้น ซึ่งควรเปิดขายได้มากกว่าเที่ยงคืน เช่นเดียวกับต่างประเทศ เพราะไทยไม่สามารถเปิดให้บริการได้ ทำให้เกิดการลักลอบจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะผิดกฎหมาย ทำให้ผู้ประกอบการต้องไปจ่ายส่วยเพื่อจะได้เปิดบริการเกินเวลาได้เพื่อรองรับท่องเที่ยวต่างชาติ จึงเกิดทุนสีเทา เกิดธุรกิจผิดกฎหมายขึ้นมา จึงจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเปลี่ยนทุนสีเทาเป็นภาษี  ส่วนบางเรื่อง เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ยังต้องจริงจังในการปราบปราม อาจต้องแก้ไขกฎหมายให้มีโทษที่หนักขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันได้อีกทางหนึ่ง" นายชัยวุฒิระบุ

ที่ จ.เชียงราย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ชี้แจงกรณีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พาดพิงเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนสีเทาในการอภิปรายทั่วไปว่า ดูเหมือนนายรังสิมันต์จะไม่เข้าใจรูปแบบการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ที่เปรียบเสมือนตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี แต่กลับมาอภิปรายตนที่ขณะนี้เป็นเพียง ส.ส. ซึ่งไม่เป็นไร เพราะเป็นการนำข่าวเก่ามาอ่านในที่ประชุมสภามากกว่า แต่ตนได้เคยชี้แจงไปแล้วว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนสีเทา หรือการกระทำใดๆ ที่ผิดกฎหมาย

เมื่อถามว่า จะมีผลต่อพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ เพราะพาดพิงทั้งตัว ร.อ.ธรรมนัส รวมไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ด้วย ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า ก็พาดพิงถึงหลายๆ คนในรัฐบาล ซึ่งในฐานะที่เป็นบุคคลสาธารณะ ใครสามารถมาถ่ายรูปด้วยได้ เชื่อว่าสังคมจะเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคงไม่ได้ดำเนินคดีอะไร แต่ทราบว่าสมาชิกของพรรคเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะตัวแทนของแต่ละจังหวัด กำลังจะดำเนินคดีกับนายรังสิมันต์ เช่นเดียวกับบุคคลคนภายนอกที่ถูกพาดพิง ทราบว่าจะดำเนินคดีกับนายรังสิมันต์เกือบทุกราย

ส่วนที่มีการระบุว่าบริษัทเครือข่ายทุนจีนจดทะเบียนในที่ตั้งเดียวกับบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ภรรยา ร.อ.ธรรมนัสเป็นเจ้าของนั้น ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า เป็นการกล่าวหาโดยไม่ได้ดูรายละเอียดที่มาที่ไป บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ที่เลขที่ 888 อโศก-ดินแดงนั้น เป็นอีกบริษัทที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งการจัดตั้งบริษัทผ่านมาหลายปีมากแล้ว  ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ มองว่าเป็นเรื่องของการดิสเครดิตก่อนการหาเสียงเลือกตั้ง ทราบอยู่แล้วว่าตนเป็นบุคคลสำคัญของพรรคทางภาคเหนือ และผลงานที่ผ่านมาของตนแทบจะไม่เคยแพ้สนามเลือกตั้งไหนเลย  เรื่องนี้จึงน่าจะเป็นเรื่องการเมืองมากกว่า

ก้าวไกลสั่้งทีม กม.สู้กลับ

ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความคืบหน้าที่นายอุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. ยื่นฟ้องนายรังสิมันต์ว่า ต้องดูแลเต็มที่ ตนได้บอกนายรังสิมันต์ว่าขอให้เอาสำนวนฟ้องมาให้ดูว่าเขียนว่าอะไรบ้าง และจะใช้ทีมงานนักกฎหมายตั้งรับและสู้กลับ ขณะเดียวกันได้คุยกับนายรังสิมันต์แล้ว และนายรังสิมันต์มั่นใจ 100% คิดว่าจะใช้เวลาในชั้นศาล ในการเรียกเอกสารที่เขาหาไม่ได้ในช่วงอภิปราย ยืนยันว่าพรรคพร้อมที่จะปกป้องบุคลากรของพรรค

“ผมในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ต่อสายไปหาคุณโรมทันทีว่าพร้อมที่จะปกป้องในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คุณโรมกลับเข้มแข็ง บอกว่าไม่มีปัญหาเลยพี่ เรื่องแค่นี้ และผมก็คิดว่าตอนนี้มันวิกฤต มีโอกาสตรงที่ว่าก็ควรจะใช้ในชั้นศาลเรียกเอกสารพยานตอนที่ผมยังหาไม่ได้ ก็จะได้ครบสักที และหากเกิดเขียนบรรยายคำฟ้องมาไม่ดี ทีมกฎหมายเราก็พร้อมที่จะสู้กลับ” นายพิธาระบุ

เมื่อถามว่า ส.ว.ควรตั้งคณะกรรมการสอบด้วยหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่ใช่แค่ ส.ว.อย่างเดียว ส.ส.หรือพรรคการเมือง ทุกองค์กรต้องมีกระบวนการ ต้องมีคณะกรรมการวินัย นักการเมืองต้องตรวจสอบได้ คนทุกคนเคยเป็นตัวร้ายในเรื่องเล่าของคนอื่น คงต้องมีการตรวจสอบ แต่ต้องให้โอกาสในการพิสูจน์ ทุกองค์กรรวมถึง ส.ว.ด้วย ควรจะต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบจริยธรรมของสภาบน

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง "ค้านถาม ลุงตู่ตอบ" กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,571 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ.2566 เมื่อถามถึงการอภิปรายนายกฯ กรณีตู้ห่าว และทุนจีนสีเทา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.2 ระบุชอบวลีเด็ดของนายกฯ ที่บอกว่า ซื้อบ้านแถมสัญชาติ เชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวพรรคการเมืองใหญ่และพวกพ้อง, ร้อยละ 55.6 ระบุนายกฯ ตอบโต้ได้ดี มีประเด็น ทั้งตู้ห่าวได้สัญชาติช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และซื้อบ้านแถมสัญชาติ เกี่ยวโยงพรรคการเมืองใหญ่, ร้อยละ 54.8 ระบุนายกฯ ตอบโต้ด้วยข้อมูลใหม่ ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น ตู้ห่าวได้สัญชาติไทยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์,  ร้อยละ 54.3 ระบุการอภิปรายนายกฯ กลายเป็นบูมเมอแรงกลับไปยังพรรคการเมืองใหญ่ฝ่ายค้าน และร้อยละ 45.5 ระบุ ฝ่ายค้านอภิปรายในเรื่องรู้มาก่อนแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ได้ประโยชน์อะไร

ที่น่าพิจารณาคือ ข้อเสนอแนะต่อนายกฯ จัดการปัญหาทุนจีนสีเทาและพนันออนไลน์ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.7 ต้องการให้นายกฯ ถอนสัญชาติไทยของคนต่างชาติที่ทำผิดร้ายแรง ยึดทรัพย์ และห้ามเข้าประเทศอีก และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.5 ระบุนายกฯ ต้องจัดการเด็ดขาดกับขบวนการพัวพันทุจริต ธุรกิจสีเทาและพนันออนไลน์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง