‘ชูวิทย์’รับได้เงิน6ล.แต่ไปบริจาค

เปิดศึก 2 จอมแฉขั้วทุนเทา "ทนายตั้ม" งัดภาพธนบัตรปึกใหญ่  50 ล้าน จัดหนัก "แฉไป ไถไป" เปิดปม "กล่องดวงใจ" ใกล้ชิดธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า-กัญชา พร้อมปัดออกหน้าแทนเว็บพนัน ขณะที่ "ชูวิทย์" ยอมรับได้ถุงเงิน 6 ล้านจาก 2 ตร.แต่นำไปบริจาค เปิดปมแค้น "หลานเปา" หักหลังซบ "สารวัตรซัว-เสี่ยกำพล" ปัดใช้บัญชี "ลูกชาย" รับเงินดิจิทัลเป็นค่าแฉ

จากกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ภาพเงินเป็นปึกใส่ไว้ในถุงกระดาษ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความตอนหนึ่งว่า แฉไป ไถไป ไถสีเทามา 50 ล้าน บริจาคเอาหน้า แห่งละ 3ล้าน สร้างภาพกลับตัวกลับใจ ต่อมานายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กโต้กลับว่า เงิน 2 ถุง ถุงละ 3 ล้าน ที่ทนายตั้มพูดถึง เห็นแล้วจำได้ชัดเจน เป็นเงินที่นายตำรวจผู้ใหญ่นอกราชการคนหนึ่งที่รู้จักมานาน นำมาให้ที่โรงแรมของตน โดยบอกว่าเป็นเงินของซัว ให้ช่วยหยุดโจมตี ตนบอกไปว่าไม่รับเคลียร์ เพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่นายตำรวจท่านดังกล่าวยืนยันยัดเยียดให้รับไว้ จึงได้นำเงินในถุงแรกจำนวน 3 ล้าน ไปบริจาคให้โรงพยาลธรรมศาสตร์ ในวันที่ 14 ก.พ. วาเลนไทน์เดือนที่แล้ว และอีกถุงจำนวน 3 ล้านเท่ากัน ไปบริจาคให้โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ยืนยันว่าเงินแค่นี้ไม่มีความหมาย

“และหากมี 50 ล้านมาให้อย่างที่ทนายตั้มว่าจริง ก็จะนำไปบริจาคอีก   จะเรียกผมว่าอะไรก็ได้ นักบุญคนบาป โรบินฮู้ด นักแฉใจบุญ หรือใครจะเอาอย่างผมก็ได้ แต่ส่วนใหญ่รับแล้วเข้ากระเป๋าตัวเองทั้งนั้น ลองถามทนายตั้มดูสิครับ อย่าเรียกผมว่าคนดี หรือมาศรัทธาอะไรผมเลยครับ ผมก็ไม่ใช่ฮีโร่อยู่แล้ว ส่วนใครจะตราหน้าผม ก็ขอรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า ผมนั้นเป็นโจร  เพียงแต่เป็น "โจรที่เอาเงินบาปไปทำบุญ" ยังนึกไม่ออกเลย จะทำให้ดีกว่านี้ได้ยังไง ใครรู้ช่วยบอกที คนที่จะถ่ายรูปถุงเงินนี้ได้ ก็น่าจะต้องเป็นเจ้าของเงิน  คนที่ให้รูปทนายตั้มบอกว่ายังไง? เงิน 50 ล้านที่ไหน? ผมจะรอฟัง” นายชูวิทย์กล่าว

ที่ษิทราลอว์เฟิร์ม นายษิทราแถลงว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ใกล้ชิดระบุว่านายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เป็นคนที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ แต่ตนได้ข้อมูลมาจากหลายสาย ซึ่งมีหลานนายชูวิทย์ด้วยคนหนึ่ง และตอนนี้คงมีใครหลายคิดว่าตนบ้าที่จะออกมาแฉนายชูวิทย์ แต่แล้วเจ้าตัวก็ออกยอมรับเองเพราะจำนนต่อหลักฐานว่าได้รับเงิน 6 ล้านบาท มาจากสารวัตรซัว ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์จริง ซึ่งรูปเงินดังกล่าวเป็นรูปเมื่อปีก่อนที่รับมาจากสารวัตรซัว แบ่งจ่ายมาแล้ว 2-3 ครั้ง และยังมีเงินจากเครือข่ายอีกครั้งละ 10 ล้านบาท

นายษิทรากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในรายการโทรทัศน์หนึ่งเอ่ยถึงตำรวจนอกราชการนายหนึ่งซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 35 ที่สนิทสนมกับนายชูวิทย์ คอยประสานงานต่างๆ ให้ ซึ่งตนยังทราบข้อมูลจากคนวงในอีกว่า นายชูวิทย์มีกล่องดวงใจดวงหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ทำธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ากับกัญชา เป็นเสมือนมือขวา ซึ่งกล่องดวงใจดวงนี้ เป็นผู้ที่พาสารวัตรซัว ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าของเว็บพนันไปพบนายชูวิทย์ที่โรงแรมเดวิด เพื่อพูดคุยและให้เงินกัน

 นายษิทราฝากคำถามถึงนายชูวิทย์ ที่เคยโพสต์เฟซบุ๊กถึงนายแทนไทย เมื่อวันที่ 21 ม.ค. จากนั้นก็ไม่เคยโพสต์ถึงนายแทนไทยอีกนั้นเป็นเพราะอะไร เพราะว่ากล่องดวงใจนี้ พานายแทนไทยที่เป็นเจ้าของเว็บพนันไปพบเมื่อวันตรุษจีนหรือไม่ โดยจะร้องเรียนไปยังตำรวจสอบสวนกลาง ให้ตรวจสอบเงินสกุลดิจิตอลมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท เข้าบัญชีกล่องดวงใจดวงนี้ ซึ่งเงินส่วนนี้เองที่ถูกนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลและอื่น ๆ

นายษิทรายืนยันด้วยว่า ตัวเองไม่ได้รับเงินจากเว็บไซต์พนันออนไลน์ เพราะไม่คบค้ากับคนกลุ่มนี้ หลังจากนี้ก็เตรียมใจแล้วว่าจะโดนอะไรบ้าง แต่ที่ออกมาแฉเป็นเพราะผิดหวังกับนายชูวิทย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 คน ที่ตนเคยประกาศไว้ว่าจะไม่มีปัญหาด้วย และไม่ได้โกรธแค้นนายชูวิทย์เป็นการส่วนตัว แต่ไม่อยากให้มีการเลียนแบบที่ออกมาแฉแล้วเรียกผลประโยชน์ เพราะเราเคยโทรศัพท์พูดคุยกันมาก่อน พร้อมยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่เกมการเมือง เพราะตนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และไม่ได้รับงานจากพรรคการเมืองคู่แค้นของนายชูวิทย์ แต่ในอนาคตก็ยินดีที่จะร่วมมือกับนายชูวิทย์ เพื่อแฉโครงการทุจริตรถไฟฟ้า ไม่ใช่เพียงสีใดสีหนึ่ง หากนายชูวิทย์ไม่รังเกียจ ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงผู้เกี่ยวข้องอีกหลายคน

จากนั้นนายชูวิทย์แถลงโต้กลับนายษิทราทันที พร้อมได้อุ้มพระบรมรูปหล่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พร้อมระบุว่า หากพูดโกหกก็ขอให้เกิดความวิบัติแก่ตนเอง หากพูดความจริงก็ขอให้เกิดแต่ความเจริญ พร้อมแสดงเชิงสัญลักษณ์โดยการนำเหรียญมาหยอดใส่ตาชั่ง โดยนายชูวิทย์เปิดเผยว่า ทนายตั้มรับข้อมูลจากนายเปา หลานที่ตนเลี้ยงดูมาดั่งลูกตั้งแต่ยังเล็ก เพราะพ่อเขาติดคุก ส่วนแม่ก็แยกทางไป ตนส่งเสียให้เรียนโรงเรียนชื่อดังจนจบ แล้วก็มาติดตามตัวเอง กระทั่งตนติดคุก จึงให้นายเปาไปคอยเก็บเงินค่าเช่าคอนโดมิเนียมของตนเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง แต่นายเปาอ้างว่าผู้เช่าไม่ยอมให้เงิน จนกระทั่งต่อมาหลังจากที่ตนออกจากคุกก็มาทราบว่านายเปาได้รับเงินค่าเช่า แต่ไม่ได้เอามาให้ ตนจึงต่อว่า หลังจากนั้นนายเปาได้ลาออก และไปทำงานกับ สารวัตรซัว ซึ่งเรียนโรงเรียนเดียวกันมา

โดยเรื่องที่ทนายตั้มกล่าวหาประเด็นแรก ยอมรับว่าตนเองเคยพบกับนายแทนไท โดยมีอดีตนายตำรวจยศ “พล.ต.อ.” พามาหาที่โรงแรมแห่งนี้ ตอนกลางวัน เพื่อปรึกษาว่าจะฟ้องร้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือไม่ หลังเข้าไปพบนายสนธิแล้วถูกต่อว่า เพราะไม่เชื่อว่านายแทนไทจะทำธุรกิจขาวสะอาด ตนก็แนะนำว่าอย่าไปฟ้อง เพราะสู้ไม่ได้ ก่อนนายแทนไทจะกลับไป ตนไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องมาปรึกษาตัวเอง ประเด็นต่อมาคือ เรื่องที่มีเงินดิจิทัล 50 ล้านบาท โอนเข้ามายังบัญชีของกล่องดวงใจหรือ นายเติม ลูกชายคนเดียวของตนหรือไม่ ตนยืนยันว่าลูกชายตัวเองมีอันจะกิน เพราะได้รับเงินเดือนจากตน ไม่เคยเล่นการพนัน และไม่มีเงินก้อนดังกล่าวโอนเข้ามาตามที่ทนายษิทรากล่าวอ้าง

นายชูวิทย์กล่าวต่อมาประเด็นเรื่องรูปเงินทั้ง 2 ถุง ที่ทนายษิทราโพสต์ไว้ และบอกว่ามีเงินมากกว่า 6 ล้านบาทตามที่ตนระบุ โดยตนขอชี้แจงว่า เงินดังกล่าวมี 2 ถุง ถุงละ 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท ไม่มีเงินจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม ซึ่งเงินดังกล่าวมีตำรวจเกษียณราชการยศ พล.ต.ท. ชื่อ อ. และอีกนายยศ พล.ต.ต.ชื่อ ป. ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังทำอาบอบนวด นำเงินจำนวนดังกล่าวมาให้ โดยอ้างว่าเป็นเงินของสารวัตรซัว แต่ตนได้ปฏิเสธไม่รับ แต่ทั้ง 2 คนไม่ขอเอาเงินกลับไป วางไว้ที่โต๊ะ ตนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงรับไว้ ซึ่งภาพดังกล่าวไม่ได้ถ่ายที่โรงแรมแห่งนี้ และไม่ทราบว่าผู้ใดนำไปเปิดเผย ภายหลังตนได้ตัดสินใจนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. และโรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มี.ค.

นายชูวิทย์ยังถามถึงทนายษิทราว่า รับงานมาจากใคร ยอมรับว่ามีบางเรื่องที่กล่าวหามานั้นมีทั้งถูกและผิด ซึ่งไม่ทราบเหตุผลที่ทนายตั้มต้องออกมาพูดในครั้งนี้ พร้อมตอบคำถามที่ว่า ทำไมตนถึงไม่แฉเรื่องนายแทนไท ยอมรับว่า ตัวเองมีข้อมูลเขาน้อยมาก จึงไม่นำมาแฉ รวมถึงหลังจากนี้ตนไม่ยอมรับนายเปาเป็นหลาน เพราะถือว่าเนรคุณ ซึ่งปัจจุบันตนไม่เคยได้พบหรือติดต่อกันอีก และทราบภายหลังว่านายเปาถือหุ้นลาลิซ่าอาบอบนวด ที่มีเสี่ยกำพลร่วมกับสารวัตรซัวเป็นเจ้าของ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ตนมาแฉเรื่องธุรกิจสีเทา มีกลุ่มคนที่ทำธุรกิจสีเทา พยายามจะเข้ามาพบหรือหารือตนเสมอ และเสนอเงิน แต่ตนไม่เคยรับเงินจากกลุ่มไหนเลย ยกเว้นที่ 2 นายตำรวจ เอามาวางไว้ให้ ซึ่งเป็นเหตุจำใจที่ต้องรับ ส่วนนายแทนไท มาพร้อมกับนายตำรวจที่ตนรู้จัก จึงได้เจอตัวเป็นๆ พร้อมยืนยันว่าไม่เคยพบ หรือแม้แต่จะโทรศัพท์คุยกับสารวัตรซัว

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ตามที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อ ม.ค.2559 ในคดีรื้อบาร์เบียร์ ตัดสินลงโทษจำคุกนายชูวิทย์ และพวก 2 ปี ลดจาก 5 ปีที่ศาลอุทธรณ์เคยพิพากษาไว้ โดยมีการชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายไปบางส่วนแล้ว และยังมีการนำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไป ซึ่งที่ดินที่นายชูวิทย์นำไปยื่นศาลเพื่อขอลดโทษนั้น ถูกนำไปสร้างเป็นสวนสาธารณะ เรียกว่าสวนชูวิทย์ แต่ทว่าล่าสุด สวนดังกล่าวไม่มีแล้ว เมื่อพื้นที่สวนดังกล่าวกำลังก่อสร้างพลิกโฉมเป็นอาคารสูงโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ จะนำความไปร้องถามนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ให้วินิจฉัยและดำเนินการในกรณีดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจ ในวันศุกร์ที่ 24 มี.ค.66 เวลา 10.00 น. ณ ศาลาว่าการ กทม.1 เสาชิงช้า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง