ครม.เคาะซํ้าอุ้มค่าไฟ ยันไฟเขียวทันบิลพ.ค.

ครม.มีมติอนุมัติอีกรอบของบกลาง 10,464 ล้านบาทดูแลค่าไฟ “บิ๊กตู่” ลั่นทำตามขั้นตอนมาตรา 169 เชื่อ กกต.เคาะเร็วทันรอบบิล พ.ค.แน่ เพราะเป็นความเดือดร้อนประชาชน “พปชร.” อัด รทสช. ชี้หากเลือกลุงตู่มีข้อสงสัยพลังงานเพื่อใคร แต่หากเลือกลุงป้อมพลังงานเพื่อประชาชน

เมื่อวันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการขอใช้งบกลางช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางเรื่องค่าไฟฟ้า จำนวน 1.1 หมื่นล้านบาทแล้ว โดย ครม.ได้ให้ความเห็นชอบ และจะส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการพิจารณาต่อไป ซึ่งเชื่อว่า กกต.จะส่งกลับมาโดยเร็ว เพราะได้ทำถูกต้องตามขั้นตอนมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นความเดือดร้อนของประชาชน ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะทันในรอบบิลเดือน พ.ค.นี้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงต้องรอหน่อย แต่เชื่อว่าจะเร็วที่สุด ถ้าเร็วก็คงทัน และคาดการณ์ว่าในเดือนหน้าสถานการณ์คงดีขึ้น การใช้ไฟคงลดลง ราคาค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน คงจะลดลงบ้าง ซึ่งจะมีผลในช่วงต่อไป ถือเป็นการชดเชยกันไปมา 

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม.ว่า ครม.มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 งบกลางวงเงิน 10,464 ล้านบาท สำหรับดำเนินมาตรการในช่วงเดือน พ.ค.- ส.ค.2566 เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน โดยให้ส่วนลดไฟฟ้าแบบขั้นบันไดแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน และส่วนลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือน พ.ค.2566 จำนวน 150 บาทต่อราย ซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยแบ่งสัดส่วนการขอจัดสรรงบประมาณสำหรับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือจำนวน 35.70 ล้านบาท และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำนวน 10,428.30 ล้านบาท

 “2 มาตรการที่กระทรวงพลังงานนำเสนอ เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (3) ที่กำหนดให้ไม่ให้กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก กกต.ก่อน รวมทั้งเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน”นายอนุชากล่าว

นายอนุชากล่าวลงรายละเอียดว่า  แผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ขอรับจัดสรร ประกอบด้วย 1. มาตรการต่อเนื่องของกระทรวงพลังงานที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงาน ที่ดำเนินการอยู่ในช่วง ม.ค.-เม.ย.2566 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ของ กฟน., กฟภ., กฟผ. และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ โดยเป็นมาตรการช่วยเหลือแบบขั้นบันได เป็นเวลา 4 เดือนสำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือน พ.ค.-ส.ค.2566 โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มวงเงิน 6,954 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft) รอบเดือน พ.ค.-ส.ค.อยู่ที่ 91.19 สตางค์ต่อหน่วย, 1-150 หน่วย ส่วนลดค่าไฟฟ้า 89.80 สตางค์ต่อหน่วย ผลต่าง Ft เรียกเก็บและส่วนลด 1.39 สตางค์ต่อหน่วย, 151-300 หน่วย ส่วนลดค่าไฟฟ้า 64.80 สตางค์ต่อหน่วย  ผลต่าง Ft เรียกเก็บและส่วนลด 26.39 สตางค์ต่อหน่วย, 301 หน่วยขึ้นไป ผลต่าง Ft เรียกเก็บและส่วนลด 91.19 สตางค์ต่อหน่วย ทั้งนี้ งบประมาณที่ใช้ทั่วประเทศ 6,954 ล้านบาท (1,738.50 ล้านบาทต่อเดือน) โดยผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับประโยชน์ 18.32 ล้านราย เท่ากับ 78.42% ของบ้านอยู่อาศัยทั้งหมด

2.มาตรการช่วยเหลือระยะเร่งด่วน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ของ กฟน., กฟภ., กฟผ. และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ โดยเป็นการลดค่าไฟฟ้าในรอบบิลเดือน พ.ค.2566 จำนวน 150 บาทต่อราย จำนวนประมาณ 23.40 ล้านราย ใช้วงเงินไม่เกิน 3,510 ล้านบาท โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่ง ครม.จะได้นำเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบการใช้งบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 169 (3) กำหนดต่อไป

วันเดียวกัน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการนโยบายเศรษฐกิจของพรรค พปชร. ได้แสดงความเห็นถึงการปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม  โดย ม.ล.กรกสิวัฒน์ระบุว่า ตั้งปี 2551 มีการแก้กฎด้วยการออกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้บริษัทปิโตรเคมีบางกลุ่มมีสิทธิ์ใช้ก๊าซอ่าวไทยตัดหน้าประชาชน ทำให้คนไทยเดือดร้อนมาจนทุกวันนี้ เป็นเวลานาน 15 ปี นับเป็นวิบากกรรมของคนไทยที่ก๊าซหุงต้มที่ผลิตจากอ่าวไทยกลายเป็นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน

นายธีระชัยกล่าวว่า น่าเสียดายที่ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากไม่มีการแก้กติกากลับคืนให้คนไทยได้ใช้ก๊าซจากอ่าวไทยก่อนแล้ว ยังได้เพิ่มตราบาป และซ้ำเติมความเดือดร้อนด้วย คือมีการปรับสูตรกำหนดราคาก๊าซสำหรับครัวเรือน ทำให้ราคาก๊าซขายปลีกพุ่งสูงขึ้นทะลุ 400 บาทต่อถัง ในบางช่วงเวลาขึ้นไปเกินกว่า 500 บาทต่อถัง แต่ใช้กองทุนน้ำมันจำนวนหลายหมื่นล้านมาปกปิดปัญหาไว้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยล่วงรู้เลย

นายธีระชัยกล่าวว่า แนวทางแก้ไขปัญหานั้น 1.ยกเลิกการอ้างอิงราคาสมมติ 2.ยกเลิกมติ กพช. ที่ 3/2551 ที่ให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทปิโตรเคมีเพียงบางกลุ่มในการซื้อก๊าซหุงต้มจากอ่าวไทยตัดหน้าประชาชน และ 3.จัดตั้งองค์กรจัดการทรัพยากรพลังงาน

“ประชาชนต้องคิดให้ดีเรื่องราคาพลังงาน และต้องคิดให้ดีว่าจะเลือกลุงตู่หรือลุงป้อม เลือกลุงตู่ได้อะไร เลือกลุงป้อมได้อะไร ต้องฝากให้คิดว่าถ้าเลือกลุงตู่ได้พลังงานเพื่อใคร แต่ไม่ใช่พลังงานเพื่อประชาชน เพราะทีมเศรษฐกิจ 4 คนของพรรครวมไทยสร้างชาติล้วนแล้วแต่เป็นอดีตกรรมการบริษัทพลังงาน ถามว่าเขาจะมีมาตรการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ใคร ขณะที่ถ้าเลือกลุงป้อมและ พปชร. ยืนยันได้เลยว่าจะเป็นพลังงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง” นายธีระชัยกล่าว

นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค พปชร. กล่าวว่า พรรคได้จัดทำแผนนำประเทศไทยผ่านพ้นพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน โดย 3 ภารกิจหลัก ประกอบด้วย 1.กระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นจริงทันที 2.เร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีพลัง และ 3.เร่งรัดสร้างรากฐานการพัฒนาพลิกโฉมประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง ส่วน 7 ขับเคลื่อน ประกอบด้วย 1.สร้างสวัสดิการประชาชน โดยต่อยอดโครงการประชารัฐควบคู่การเติมทุน 30,000 บาทต่อ 1 ผู้ถือบัตรประชารัฐ 2.เร่งรัดแก้ไขปัญหาค่าครองชีพและต้นทุนผู้ประกอบการที่พุ่งสูง 3.สร้างเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงการเติมเงินให้กองทุนหมู่บ้าน 200,000 บาท 4.ผลักดันการลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐาน 5.เร่งลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 6.เร่งขยายฐานรายได้ของประเทศ และ 7.เร่งสร้างระบบเตือนภัย ป้องกันและจัดการพายุเศรษฐกิจจากภายนอก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง