ภาคปชช.สู้ยาว ชงก.ก.ทบทวน นโยบายกัญชา

แกนนำพรรคก้าวไกลแจง  การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดทำให้ตำรวจและ ป.ป.ส.ทำงานได้อย่างเต็มที่   ยันจะไม่ให้กระทบผู้ที่ทำถูกกฎหมาย  “ประสิทธิ์ชัย” ร่อนหนังสือถึง “พิธา” อย่าใช้การเมืองกำหนดอนาคตกัญชา ยันไม่หยุดเคลื่อนไหวถ้ายังดึงดันเอากลับไปเป็นยาเสพติด แต่จะไม่ประท้วงจนกว่าจะตั้ง รมต.สธ.เสร็จ เสนอ 3 ขั้นตอนทบทวนรอบด้านจากหลักฐานข้อเท็จจริงตามวิถีประชาธิปไตย

ที่พรรคก้าวไกล วันที่ 25 พฤษภาคม     น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคและว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงข้อกังวลในประเด็นกัญชา ที่มีการระบุในเอ็มโอยูว่าจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ผ่านการออกประกาศของกระทรวงสาธารณสุขแล้วผลจะเป็นอย่างไรนั้นว่า ขอยืนยันว่าการที่ออกประกาศโดยกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เจ้าพนักงานทั้งตำรวจและ ป.ป.ส. สามารถที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่

"ซึ่งการคุ้มครองเราไม่ได้คุ้มครองเฉพาะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ในรัฐบาลที่ผ่านมา แต่รวมไปถึงการคุ้มครองผู้ประกอบการ ผู้ปลูกที่ได้ทำถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพียงแต่นโยบายนี้เกิดสุญญากาศเกิดขึ้น และยังไม่มีกฎหมายออกมาควบคุมได้อย่างทันท่วงที ยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่ทำถูกต้องตามกฎหมายในเวลานี้อย่างแน่นอน" น.ส.ศิริกัญญากล่าว

ด้านนายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย โพสต์เฟซบุ๊กฝากข้อความถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล  แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยใช้หัวข้อว่า   "หนังสือถึงพิธาและความในใจของผม"    เนื้อหาในหนังสือระบุว่า ผมเคลื่อนไหวเรื่องกัญชามาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง และไม่เคยเขียนถึงพรรคก้าวไกลก่อนเลยสักครั้ง  ยกเว้นว่าพรรคพูดเรื่องกัญชากลับสู่ยาเสพติด เราเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยจำเป็นต้องพูด

หลายคนบอกและเรียกร้องว่าให้หยุดก่อน ให้เขาทำเรื่องใหญ่ก่อน ประเด็นสำคัญคือ เรื่องกัญชาสำหรับผมมันใหญ่มาก ถ้ามันถูกเอาไปเป็นยาเสพติด มันคือการทำลายความมั่นคงทางยาที่ใช้กัญชารักษาเยียวยาความทุกข์ยากของผู้คน

ถ้าจะเรียกร้องผมให้หยุดพูดก่อนการจัดตั้งรัฐบาล ทำไมประชาชนต้องหยุดพูดด้วย แต่ผมยืนยันหลักการเดิมว่า ผมไม่พูดก่อน จะพูดก็ต่อเมื่อฝ่ายการเมืองเคลื่อนไหว แต่ถ้าเห็นว่าฝ่ายการเมืองจะทำอะไรก็ได้ จังหวะนี้เราต้องหยุดก่อน มันใช่หลักการที่ถูกต้องหรือเปล่า

ผมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะชวนพรรคการเมืองกลับมากำหนดนโยบายที่ข้อเท็จจริง ผมไม่ใช่นักการเมืองที่จะตัดสินตามภาวะการเมือง ผมยืนยันหลักการ และพรรคการเมืองไม่ควรหวั่นไหวต่อการตั้งคำถามเพื่อหาข้อเท็จจริง พวกผมไม่ชุมนุมประท้วง จนกว่าจะมีการแต่งตั้ง รมต.สาธารณสุข สิ่งที่พวกผมทำคือสิ่งที่ปรากฏในหนังสือที่ส่งถึงหัวหน้าพรรคก้าวไกล นั่นคือชวนทุกพรรคมาร่วมกันกำหนดนโยบายที่ข้อเท็จจริง

 “ถ้าทำเท่านี้เพื่อนพี่น้องผมที่เคยคบกันมาแล้วหาว่านี่คือการทำลายพรรคก้าวไกล เราสามารถเลิกคบกันได้ครับ เพราะผมเป็นบุคคลเช่นนี้ และผมก็เสียเพื่อนจากภาวะเช่นนี้ตลอดมา จะเสียเพื่อนอีกสักรอบก็ไม่เป็นไร ผมรับปากได้อย่างเดียวว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการหาข้อยุติร่วมกันให้ได้กับพรรคการเมือง ด้วยการใช้ข้อเท็จจริงมาร่วมกันพิจารณา ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่มีเบื้องหลัง จะอย่างไรคงคุยกันได้ แต่ถ้ามีประโยชน์เบื้องหลัง ก็ยากจะตกลงกัน” นายประสิทธิ์ชัยระบุ

นายประสิทธิ์ชัยยังได้เสนอแนวทาง สำหรับการกำหนดตำแหน่งแห่งที่ของกัญชาในประเทศไทยไว้ 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 คือหัวใจสำคัญสุด กลับมาพิจารณาที่ข้อเท็จจริงของกัญชาอย่างรอบด้าน ปัญหาสำคัญที่สุดของกัญชาตอนนี้คือ ข้อมูลที่สาธารณชนรับรู้ห่างไกลจากข้อเท็จจริง เหตุเพราะพรรคการเมืองนำกัญชามาปั่นกันจนเลยเถิด โดยเฉพาะสองพรรคใหญ่ที่ได้รับความนิยมสูง คำพูดของสองพรรคนี้ยิ่งตอกย้ำว่ากัญชาเลวร้าย

หากเราไม่กลับมาสู่ข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ไม่มีทางที่จะกำหนดกติกาที่มีประสิทธิภาพ และทุกเรื่องของประเทศนี้เวลาจะกำหนดนโยบายต้องกลับมาที่ข้อเท็จจริง ฉะนั้นขั้นตอนแรกทุกภาคส่วนต้องกลับมาที่จุดพื้นฐานสำคัญที่สุดคือข้อเท็จจริง

ขั้นตอนที่ 2 วิเคราะห์จากฐานข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านแล้วมากำหนดว่า เราจะใช้เครื่องมือใดในการกำหนดกลไกที่มีประสิทธิภาพที่สุด เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน เมื่อถึงขั้นนี้เราจะมองเห็นภาพร่วมกันว่า เครื่องมือแบบพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายยาเสพติด

ขั้นตอนที่ 3 ต้องสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างกลไกเรื่องกัญชา และออกแบบกลไกร่วมกัน จนกลายเป็นกฎหมายที่ใช้กำกับและบริหารกัญชาของประเทศ

 “หากเริ่มจาก 3 ขั้นตอนนี้ จะสง่างาม เป็นประชาธิปไตย พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ควรเลือกวิธีการของประชาธิปไตย ไม่ใช่รวบรัดตัดตอน เอาไปสู่กฎหมายยาเสพติด ซึ่งเป็นกฎหมายที่จำกัดการใช้ จำกัดเสรีภาพ จำกัดการออกแบบกลไก กลับมาสู่การแสวงหาข้อเท็จจริงเถอะครับ อย่าใช้วิถีการเมืองในการกำหนดนโยบายกัญชา เพราะมันจะผิดแล้วผิดอีก” เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยกล่าว

นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงรายละเอียดที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ  แจ้งความดำเนินคดีกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค. เจ้าพนักงานของกรมได้เดินทางไปที่ สน.ทองหล่อ เพื่อแจ้งความกับนายชูวิทย์ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ของกรม เนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ก.พ.2566 เจ้าพนักงานของกรมได้เข้าไปตรวจสอบร้านจำหน่ายกัญชาในโรงแรมเดวิส ซึ่งขณะนั้นนายชูวิทย์ได้เข้ามาพูดในเชิงดูหมิ่นเจ้าพนักงาน แต่ช่วงที่ผ่านมากรมมีภาระงานเยอะ และอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล จึงดำเนินการเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา เพราะในวันที่ 27 พ.ค. ก็จะหมดอายุความตามกฎหมายคือ 90 วันหลังเกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม ตนได้รับรายงานจากทีมกฎหมายว่า กระบวนการต่อไปเป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเรียกผู้เสียหายไปให้ปากคำเพิ่มเติม และแจ้งเรื่องกับนายชูวิทย์

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่ประเด็นดังกล่าวจะถูกเอาไปโยงกับการเมือง นพ.ธงชัยกล่าวว่า ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องการเมืองเลย แต่ถ้าคนจะคิดก็ไปบังคับเขาไม่ได้  แต่ยืนยันว่ากรมทำตามกฎหมาย ตามหน้าที่ แต่กลับถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเชื่อว่าศาลมีดุลยพินิจตัดสิน เพราะมีหลักฐานเป็นภาพวิดีโอ มีเสียงครบทุกอย่าง และนายชูวิทย์ก็บันทึกภาพและมีการเผยแพร่ออกสื่อไป

เมื่อถามว่า โดยปกติเจ้าพนักงานลงพื้นที่ตรวจสอบร้านกัญชาอื่นๆ เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวหรือไม่ นพ.ธงชัยกล่าวว่า ไม่เคยเจอ ส่วนใหญ่ได้รับความร่วมมือดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมีกรณีการดูหมิ่นเจ้าพนักงานอีก ไม่ว่ากรณีใดก็ต้องดำเนินการ เราไม่ได้เลือกว่าเป็นนายชูวิทย์ ไม่เกี่ยวกัน แต่ถ้าใครมาทำแบบนี้ ก็ต้องดำเนินการหมด รับรอง 100% เพราะจริงๆ คนที่ไปลงพื้นที่วันนั้นก็แจ้งแล้วว่าแบบนี้ต้องฟ้อง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง