จ่อเด้ง40ตร.ทล.เซ่นส่วยสติกเกอร์

"พิธา" นำทีมก้าวไกลหารือองค์กรต้านคอร์รัปชัน ฉายโรดแมป 100 วันแรก เปิดข้อมูลภาครัฐ-ใช้ AI จับโกง ฟุ้งต้นปีหน้าคะแนน CPI ไทยดีขึ้น "วิโรจน์" หอบข้อมูลส่วยสติกเกอร์ให้ จตช. "จรูญเกียรติ" จ่อเด้งตำรวจทางหลวง 40 นายเข้ากรุ สรรพสามิตขึงขังสอบ “บิ๊ก ขรก.” ปมโทร.เคลียร์รถขนน้ำมันเถื่อน ยันเอี่ยวจริงฟันแน่

ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ เมื่อวันที่ 8  มิถุนายน เวลา 14.00 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะทำงานต่อต้านคอร์รัปชันของพรรค   เข้าพบหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT นำโดยนายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรฯ

โดยนายพิธากล่าวว่า พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน อันถือเป็นปัญหาสำคัญในสังคมไทยที่ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการพัฒนาอย่างมหาศาล  จะเห็นได้ว่าตลอด 4 ปีในการทำงานของพรรคก้าวไกลในสภาผู้แทนราษฎร  มีการเปิดโปงการทุจริตและการตรวจสอบการใช้อำนาจและงบประมาณภาครัฐอย่างเข้มข้น และหลังเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้ทำ MOU กับพรรคร่วม โดยทุกพรรคจะทำงานโดยซื่อสัตย์สุจริต หากมีบุคคลของพรรคใดมีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชัน  ทุกพรรคจะยุติการดำรงตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ทันที

ทั้งนี้ จากการติดตามตัวชี้วัดต่างๆ  รวมทั้งดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) พบว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้คะแนนและลำดับอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ในรัฐบาลที่ผ่านๆ มา หากเราผลักดันให้นโยบายเรื่องการเปิดเผยข้อมูลรัฐ และการนำเทคโนโลยีมาช่วยจับโกง สำเร็จได้ภายใน 100 วันตามที่ตั้งไว้ เชื่อว่าต้นปีหน้าจะมีข่าวดีว่าคะแนนและลำดับของประเทศไทยใน CPI จะสูงขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า  100 วันแรกของรัฐบาลก้าวไกลมีโรดแมป เราสามารถเปิดประชุมสภาและใช้มติคณะรัฐมนตรี เพื่อนำร่าง พ.ร.บ.ข่าวสารสาธารณะฯ กลับมาพิจารณาต่อได้เลยทันที และระบบ AI จับโกง ที่เราสามารถต่อยอดจากระบบ ACT.AI ได้ทันที รวมทั้งจะเข้าไปตรวจสอบ แก้ไข แผนงบประมาณประจำปีถัดไป โดยเชื่อว่าจะสามารถตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็น ไม่เหมาะสม  และนำไปใช้ในโครงการที่คุ้มค่ามีประโยชน์ต่อประชาชน รวมได้กว่า 2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ก้าวไกลยังผลักดันหลักการ Open Parliament จะถ่ายทอดสดการประชุมกรรมาธิการทุกชุด เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตาม ตรวจสอบได้ โดยเชื่อว่าจะทำให้การคอร์รัปชันลดน้อยลง

ด้านนายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ (ACT) เปิดเผยว่า ดีใจที่พรรคก้าวไกลติดต่อเข้ามาพูดคุยหารือถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน เชื่อว่าพรรคมีความจริงจังในประเด็นนี้ เรียกว่าการมีเจตจำนงอย่างมุ่งมั่น (Political Will) และภาคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทำให้ประชาชนมีความหวังว่าภาคการเมืองแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังและยั่งยืน เราได้แลกเปลี่ยนบางประเด็นที่เป็นรูปธรรมสามารถจับต้องได้ โดยเฉพาะประเด็นการสร้างระบบนิเวศ ที่จะสามารถทำให้ทุกฝ่ายสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกัน และมองเห็นโอกาสที่จะสามารถร่วมมือกันได้ต่อไปในอนาคต

วิโรจน์หอบหลักฐานให้ ตร.

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)  นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย นำเอกสารหลักฐานที่สมาพันธ์ฯ นำมามอบให้กับพรรคก้าวไกล ไปส่งต่อให้กับ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ  จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) เพื่อตรวจสอบกรณีส่วยทางหลวง

นายวิโรจน์กล่าวว่า เอกสารที่รวบรวมมาวันนี้ มีข้อมูลเบาะแสเบื้องต้นที่รวบรวมมาจากพลเมืองดี ร่วมกับสหพันธ์การขนส่งฯ รวบรวมมาด้วย ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้ได้รับการประสานงานที่ดีจากทั้งจเรตำรวจแห่งชาติและตำรวจสอบสวนกลาง ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเบาะแสปลายทาง การสอบสวนขยายผลต้องให้ตำรวจดำเนินการ เชื่อว่าทำได้ดีกว่า หวังว่านอกจากส่วยสติกเกอร์แล้ว ปัญหาการเรียกรับผลประโยชน์อื่นๆ เช่น โรงโม่หิน บ่อดิน บ่อทราย ผู้ค้าขายหินทราย ซึ่งสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย จะต้องถูกดำเนินคดี และยึดใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4)

พล.ต.อ.วิสนุกล่าวว่า จะไปตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดว่าเกี่ยวข้องพาดพิงถึงใครบ้าง ยืนยันว่าทางตำรวจโดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เน้นย้ำกำชับมาว่าให้ดูแลที่สุด ใครที่กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นตำรวจทางหลวง หรือตำรวจอื่นใดที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องรับผิดชอบทั้งหมด ไม่ได้ตรวจสอบเฉพาะตำรวจ หากตรวจสอบพบพัวพันพาดพิงถึงใคร จะดำเนินการทั้งหมด  หลังจากนี้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาจะประชุมนำข้อมูลที่ทางนายวิโรจน์นำมามอบให้มาตรวจสอบดูทั้งหมด ยืนยันว่าจเรตำรวจฯ และตำรวจสอบสวนกลางจะทำหน้าที่ให้รวดเร็วและดีที่สุด ทั้งนี้จะทำงานให้อยู่ในกรอบระยะเวลา 15 วัน

ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.)  รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.) กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนคดีส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกตำรวจทางหลวงว่า ได้ประชุมร่วมกับผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่ง ผบช.ก.ได้กำชับให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพื่อกอบกู้เกียรติและศักดิ์ศรีของตำรวจทางหลวงคืนมา

นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการกำชับให้เร่งดำเนินการทางปกครองกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงที่เข้าไปเกี่ยวข้อง จากพยานหลักฐานและข้อมูลพาดพิงที่ได้รับจากผู้ประกอบการ คาดว่ามีอยู่ประมาณ 35-40 นาย ตั้งแต่ระดับชั้นประทวนไปจนถึงระดับชั้นสัญญาบัตร โดยในวันที่ 9 มิ.ย. จะมีการเซ็นคำสั่งให้มาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจจราจรทางหลวง (ศปก.บก.ทล.) อย่างเป็นทางการ ยืนยันไม่มีการช่วยเหลือ ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ตามหลักฐานข้อเท็จจริง เพราะถึงเวลาแล้วที่ตำรวจทางหลวงจะต้องปัดกวาดบ้านตัวเอง

ส่วนเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพสามิตโทรศัพท์มาเจรจาไกล่เกลี่ยให้ปล่อยรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่ถูกจับในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า ทราบว่าขณะนี้อธิบดีกรมสรรพสามิตได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา ซึ่งหลังจากนี้จะมีการประสานอัปเดตข้อมูลการตรวจสอบถึงกัน เพราะต้องการทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส ผิดถูกว่ากันตามพยานหลักฐาน และขอให้สังคมเชื่อใจว่าจะไม่มีการหมกเม็ดใดๆ

แฉส่วยน้ำมันขบวนการใหญ่

ที่ศูนย์รับแจ้งความ บช.ก. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ให้เร่งขยายผลตรวจสอบเครือข่ายการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนที่เพิ่งมีการจับกุมได้ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก่อนหน้านี้ หลังพบมีบุคคลแอบอ้างตัวเป็นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพสามิตโทรศัพท์เจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อขอไม่ให้จับกุมรถคันดังกล่าว โดยได้รับหลักฐานเป็นบันทึกเสียงการสนทนากับคนคนหนึ่งที่เป็นคนสนิทของข้าราชการคนดังกล่าว 

"รถคันดังกล่าวเป็นของเจ๊ ม. ลักลอบขนน้ำมันมาจากประเทศมาเลเซีย จำนวน 40,000 ลิตร ผ่านด่านที่จังหวัดสงขลา โดยมีเจ๊ อ. ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเครือข่ายลักลอบขนส่งน้ำมันเถื่อนเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ โดยรถคันดังกล่าวต้องไปส่งน้ำมันให้เจ๊ บ. ที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเจ๊ บ. คือคนสนิทของบิ๊กกรมสรรพสามิตคนดังกล่าว" นายอัจฉริยะระบุ

สำหรับเจ๊ บ.นั้น อยู่ในเครือข่ายลักลอบขนน้ำมันเถื่อนมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ทำน้ำมันเถื่อนอยู่กับนาย ย. อดีตตำรวจน้ำ จากนั้นมีปัญหากันจึงได้เข้ามาอยู่ในเครือข่ายของบิ๊กสรรพสามิต  โดยเจ๊ บ. จะมีผู้ร่วมกระบวนการเป็นเจ๊  อ. ผู้ที่ร่วมทำน้ำมันเถื่อนที่จังหวัดสงขลา โดยการขนน้ำมันในลักษณะนี้มีเกือบทุกคืน และเมื่อน้ำมันจำนวนดังกล่าวมาถึงที่จังหวัดปทุมธานี จะเข้าสู่กระบวนการกรองคาร์บอนและนำไปขายให้กับรถบรรทุกและอุตสาหกรรมอื่นๆ หรือปั๊มหลอดในพื้นที่ภาคกลาง เช่น สุพรรณบุรี และสระบุรี ซึ่งเป็นขบวนการใหญ่ มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐหลายคน และกระทำการอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ขนาดตำรวจทางหลวงมีการเข้มงวดกวดขันสูง หลังมีข่าวส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก เครือข่ายนี้ก็ยังกล้าลักลอบขนน้ำมันกว่า 40,000 ลิตรเข้ามาได้

วันเดียวกัน นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวถึงความคืบหน้าภายหลัง บก.ปปป.สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตประจวบคีรีขันธ์ จับกุมนายสมบัติ อายุ 47 ปี ในความผิดฐาน "มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี" หรือ "น้ำมันเถื่อน"  ได้ที่บริเวณริมถนนเพชรเกษม ทล.4 กม.308 ขาเข้า ต.เกาะหลัก อ.เมืองฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีรถบรรทุกน้ำมันดีเซล 15,000 ลิตร เป็นของกลางในคดี และมีการรายงานมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพสามิตรายหนึ่งโทรศัพท์มาขอเจรจาไม่ให้ดำเนินคดีกับนายสมบัติว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงข้าราชการรายดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า น้ำมันดีเซลของกลางทั้งหมดจำนวน 15,000 ลิตร ไม่มีหลักฐานการเสียภาษีสรรพสามิต ถือว่าเป็นการครอบครองสินค้าที่ยังไม่ได้มีการเสียภาษีสรรพสามิต ซึ่งกรมจะดำเนินการตามมาตรา 203 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 โดยมีโทษปรับสูงสุด 10 เท่าต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่สรรพสามิตที่โทร.มาขอเจรจานั้น เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา จึงได้ประสานงาน บก.ปปป. เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูลเพื่อเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุด และหากมีข้อมูลชี้ถึงผู้บริหารระดับสูง กรมพร้อมนำข้อมูลหลักฐานดังกล่าวมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามระเบียบวินัยราชการโดยไม่มีข้อยกเว้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ดร.อานนท์' ชงสูตรการเมืองทำลาย 'ก้าวไกล-ธนาธร' เชื่อยอมเจ็บเถิด จะได้จบ

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า