พท.ท้าเปิดโต๊ะถก สวน‘ธนาธร’ดันทีมองครักษ์พิทักษ์‘ดิจิทัลวอลเล็ต’

"ภูมิธรรม" ไม่ทน สวน "ธนาธร" อย่ามองเป็นเกมการเมืองช่วงชิงความนิยมประชาชน แนะเปิดโต๊ะคุยกันดีกว่า หลัง "เสี่ยเอก" ขวางออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทแจกประชาชน เพื่อไทยเปิดศึก ป.ป.ช. ส่งลูกหาบ สส.สอบตกออกมาด้อยค่า “สุภา-องค์กรอิสระ” หลังตั้งทีมติดตามดิจิทัลวอลเล็ต

ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ที่จะขับเคลื่อนผ่านการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาทำนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะหลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จัดบรรยายสาธารณะในหัวข้อ “ประเทศไทยควรได้อะไร หากต้องใช้ 5 แสนล้าน” เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยแสดงความไม่เห็นด้วยกับการจะออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาทำดิจิทัลวอลเล็ต และบอกว่าหากมีเงินในมือจำนวน 5 แสนล้านบาท จะสามารถนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น เกิดระบบแพทย์ทางไกล, น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ, การจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมและขยะ เป็นต้น ทำให้คนในพรรคเพื่อไทยออกมาแสดงความเห็นตอบโต้

โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถือเป็นสิทธิของนายธนาธรที่จะแสดงความเห็นได้ ซึ่งรัฐบาลเราก็รับฟัง แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญมองว่า นายธนาธรพูดจะต้องแยกส่วนกัน เพราะไม่สามารถพูดถึงเงิน 5 แสนล้านบาทลอยๆ  ไปทำเรื่องนั้นๆ ที่พูดถึงได้ เพราะรัฐบาลก็ทำอยู่แล้ว โดยจะต้องพูดบนฐานที่มีองค์ประกอบ และความจำเป็นทั้งหมดที่ต้องทำหากมีเงินจำนวนนี้ สิ่งที่แตกต่างกันคือ นายธนาธร อยากเอาเงินมากระจายก่อนและให้เติบโตมาด้วยกัน แต่เราไม่เห็นด้วย โดยเห็นว่าต้องทำให้สมบูรณ์ก่อน เราถึงมากระจายให้เกิดการเติบโตขึ้น ทำให้การที่จู่ๆ จะทำรัฐสวัสดิการ  คิดหรือไม่ว่ารัฐใช้เงิน 5 แสนล้าน มากกว่า 5.4 แสนล้านไปใช้และผูกพันทุกปี ของเราใช้เงินแค่ช่วงกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น แต่หากทำรัฐสวัสดิการ อันนั้นจะเป็นงบผูกพันทุกปี ปัญหาที่จะเดือดร้อนคือ กลุ่มคนชนชั้นกลาง ผู้ประกอบการทั้งหลายต้องเสียภาษี คนไทยพร้อมหรือไม่เพื่อให้รัฐนำไปดูแลรัฐสวัสดิการ เวลาพูดต้องพูดให้ครบ ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่เขาทำ เราอยากทำแต่ต้องพูดให้หมด

นายภูมิธรรมบอกว่า จะมาบอกว่าเศรษฐกิจจะไม่วิกฤต  ก็พูดได้ในระดับหนึ่งในฐานะของนายธนาธร แต่หากไปถามชาวบ้านชาวนา นักธุรกิจผู้ประกอบการทั้งหลาย เขาเผชิญกับสภาวะแบบนี้มานาน เป็นการพูดที่ไม่ได้มองให้กว้างไปถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง

“จึงให้ข้อเสนอเพื่อนายธนาธรจะได้พิจารณา ไม่ได้ไม่เห็นด้วย แต่อยากให้มองกว้างมากขึ้น ทำทุกอย่างเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา อย่ามองว่ามันเป็นเกมการเมืองช่วงชิงความนิยมจากพี่น้องประชาชน มองว่าตรงนั้นไม่ได้สร้างสรรค์ ไม่เกิดประโยชน์ หากมาร่วมกันทำ มาคุย เปิดโต๊ะคุยกัน น่าจะดีกว่าการไปพูดในที่สาธารณะให้มีภาพพจน์ที่ดูดี ซึ่งอันนั้นมองว่าไม่ดี พูดแบบนี้ทัวร์ก็จะลงได้ แต่พูดจากใจจริง อยากเห็นการเสนอแนะที่แก้ปัญหา” นายภูมิธรรมกล่าว

ขณะเดียวกัน นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ และคณะที่ปรึกษาฝ่ายการเมืองของรองนายกฯ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ที่นายธนาธรพูดคือหลักคิดเมื่อพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล แต่วันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลก็จะใช้วิธีการของเรา วันนี้เป็นเวลาของพรรคเพื่อไทย แนวคิดของนายธนาธรคงต้องรอวันที่พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลก่อน แล้วจะได้เปรียบเทียบกันว่าแบบไหนดีกว่า

นายวรชัยยังกล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา ไปร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบการออก พ.ร.บ.กู้เงินด้วยว่า วันนี้ประเทศเหมือนคนไข้โคม่า จะรอให้ตายก่อนหรือถึงจะปั๊มหัวใจ ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเหตุสะสมมานาน รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเพิ่มกำลังซื้อให้ประเทศขับเคลื่อนได้ ขอตั้งข้อสังเกตว่านายศรีสุวรรณมักร้องพรรคเพื่อไทยเกือบทุกเรื่อง เป็นการใช้อคติในการร้องหรือไม่สังคมคงเป็นผู้ตอบได้ดีที่สุด เหมือนกับที่ ป.ป.ช.ที่เป็นองค์กรตรวจสอบ แต่ถูกสังคมตั้งคำถามว่าทำงานสองมาตรฐานหรือไม่ เพราะพอเป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทยที่เป็นนโยบายหาเสียง ยังไม่ได้ลงมือทำก็ตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษา และดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000  บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานกรรมการ ทั้งที่ น.ส.สุภาถูกสังคมตั้งข้อสังเกตว่า เป็นคนที่มีทัศนคติเชิงลบกับพรรคเพื่อไทย และกำลังจะหมดวาระ ทำไมไม่ตั้งคนอื่นที่สามารถทำงานต่อเนื่องได้มาทำหน้าที่ตรงนี้ ขอตั้งคำถามว่า การทำเช่นนี้ต้องการตรวจสอบอย่างจริงจังหรือมีนัยอะไร เพราะวิธีดำเนินการกับพรรคเพื่อไทยช่างแตกต่างกับการดำเนินการกับรัฐบาลก่อน เช่นเรื่องนาฬิกายืมเพื่อน ที่ศาลปกครองสั่งให้เปิดข้อมูล แต่ ป.ป.ช.กลับนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นายพายัพ ปั้นเกตุ อดีต สส.สิงห์บุรี และหนึ่งในคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บอกตรงๆ รู้สึกผิดหวังนายธนาธรมาก ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมองคนไทยที่ยากจนไร้ค่าได้ถึงเพียงนี้ เศรษฐีอย่างนายธนาธรธาตุแท้ก็มองข้ามคนจน ไม่สมกับที่ประกาศตัวเป็นคนรุ่นใหม่เอาเลย เสียความรู้สึกจริงๆ แทนที่จะช่วยพยุงให้คนจนโงหัวลุกขึ้นนั่งได้และยืนได้ก่อน เพื่อที่เขาจะได้มีแรงสู้ชีวิตต่อไปได้ กลับแสดงอาการเสมือนเหยียบย่ำซ้ำเติมคนจนที่รอโอกาสเช่นนี้ เอาแต่เล่นการเมือง มุ่งแต่จะทำการเมืองอย่างเดียว ทั้งที่รู้แก่ใจว่า 8 ปีที่ผ่านมาคนไทยเจ็บปวดกับความยากจนแสนสาหัส

"เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณธนาธรไปลงพื้นที่ในย่านชุมชนแออัดหรือสลัมในกรุงเทพฯ ออกไปท้องไร่ท้องนาสัมผัสปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนวันนี้ซิว่า เขาต้องการให้รัฐบาลช่วยอะไรก่อนหน้าหลัง ระหว่างความจนกับโครงการที่นายธนาธรเสนอ ซึ่งเป็นงานของรัฐบาลอยู่แล้ว อะไรควรทำก่อนกันแน่” นายพายัพกล่าว

ด้านนายคํานูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ความเห็นเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "25 ปีตั้งแต่ปี 2541 มาจนถึงปัจจุบัน มีการออกกฎหมายพิเศษกู้เงินนอกงบประมาณมาใช้ในวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยไม่ต้องส่งคลังมาแล้ว 9 ครั้ง สำเร็จมีผลใช้บังคับ 7 ครั้ง ไม่สำเร็จ ไม่มีผลใช้บังคับ 2 ครั้ง ทั้ง 7 ครั้งที่สำเร็จมีผลใช้บังคับล้วนจัดทำเป็น  'พระราชกำหนด' ทั้งสิ้น คือปี 2541 (2 ฉบับ) ปี 2545 ปี  2552 ปี 2555 ปี 2563 และปี 2564 ทั้ง 2 ครั้งที่ไม่สำเร็จ ไม่มีผลใช้บังคับ ต่างจัดทำเป็น '(ร่าง) พระราชบัญญัติ'! คือปี 2552 และปี 2556 และเป็นเวลา 5 ปีนับตั้งแต่มีการตราพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มีมาตรา 53 กำกับการออกกฎหมายพิเศษกู้เงินนอกงบประมาณในลักษณะนี้ แม้จะไม่ได้ระบุว่าให้ตราเป็นพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด แต่กฎหมายกู้เงินที่ตราขึ้นมามีผลใช้บังคับ 2 ฉบับ ในปี 2563 และ 2564 ล้วนตราออกมาในรูปแบบ 'พระราชกำหนด' ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะตราเป็นร่างพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด ก็ล้วนต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา รวมทั้งมีกลไกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น เพียงแต่ต่างขั้นตอนและต่างเงื่อนไขกัน"

“หากรัฐบาลปัจจุบันเดินหน้าตราร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 5 แสนล้านบาท และผ่านทุกด่านจนสำเร็จลุล่วงมีผลใช้บังคับ จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 25 ปี และ 5 ปีทีเดียว” สว.ผู้นี้ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง