ทวงสปิริตเศรษฐา! ‘โรม’จัดหนักชูปฏิรูปตร. ‘พท.’กัดฟันป้องนายกฯ

"พท." ดาหน้าป้องตั๋วเศรษฐา "ภูมิธรรม" ลั่นไม่มี สส.ฝากผู้กำกับ บอกทุกคนรู้นายกฯ ไม่มีอำนาจ ซัดฝ่ายค้านอย่าโยงการเมืองเสียเวลาแก้ปัญหา ปชช. "สมคิด" ยันนายกฯ พร้อมแจง กมธ.ตำรวจ แต่ 7 ธ.ค.พรรคมีกำหนดสัมมนาล่วงหน้า "รังสิมันต์" ได้ทีปลุกปฏิรูปตำรวจ ชูกระดุม 5 เม็ดแก้ปัญหา จี้ "เศรษฐา" แสดงสปิริตทางการเมือง ท้าแค่ยอมรับงวดรู้ทุกอย่างจบ  "ป.ป.ช." รับคำร้อง "ศรีสุวรรณ" สอบปมฝากตำรวจ ลั่นไม่หนักใจเคยตรวจสอบนายกฯ-รมต.หลายคนแล้ว 

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ถึงประเด็นการแต่งตั้งตำรวจในระดับผู้กำกับการว่า สาระสำคัญไม่ใช่อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่พูดว่ากำลังจะเอาตำรวจและนายอำเภอทั้ง 2 หน่วยงานมารวมกัน ซึ่งเคยมีประสบการณ์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลไทยรักไทย เพราะจะรู้ว่าในอำเภอพื้นที่นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งนายกฯ พูดถึงผู้กำกับฯ ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงในอำเภอจะต้องเป็นกำลังหลักในการดำเนินการ

"ขอย้ำว่าหัวใจสาระสำคัญอยู่ที่ประเด็นที่ต้องได้ผู้กำกับการที่สามารถทำงานได้ และได้นายอำเภอที่มีความมุ่งมั่นในการทำงาน แล้วปัญหาก็สามารถแก้ไขได้" นายภูมิธรรมกล่าว

ถามว่าพรรคเพื่อไทย (พท.) ไม่ได้มีการฝากตำรวจใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ไม่มี เนื่องจากในอำนาจหน้าที่ไม่สามารถทำได้ รวมไปถึงกฎหมายมีการระบุไว้อย่างชัดเจน

"นายกฯ ได้อธิบายว่าหากในพื้นที่ไม่สามารถหาคนที่ทำงานเข้าขากันได้ จึงจะต้องหานายอำเภอและผู้กำกับการที่สามารถทำงานร่วมกันได้ และเป็นแกนนำสำคัญในการทำงาน โดยในวันที่ 28 พ.ย.นี้ รัฐบาลจะมีการประกาศอย่างชัดเจนเรื่องการแก้หนี้นอกระบบ และติดตามผลว่าจะสามารถทำงานได้ประสบความสำเร็จแค่ไหนในการแก้ไขปัญหา" นายภูมิธรรมกล่าว

เมื่อถามว่า ขณะนี้ฝ่ายค้านพยายามโยงประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องการเมือง โดยจะมีการร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะอ้างว่าเป็นตั๋วเพื่อไทย รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เนื่องจากอยู่ที่เจตนารมณ์และความตั้งใจจริงที่จะทำ  เมื่อมีเจตนาแบบนี้ และไม่ได้พูดแบบนี้ และไม่ได้มีความมุ่งหมายแบบนี้ ก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไร

 "เป็นเรื่องธรรมดาที่ฝ่ายค้านจะต้องหาประเด็นมาผูกเพื่อให้เป็นประเด็นในการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็รับฟังไว้ เพราะเป็นเรื่องที่ว่ากันตามกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ต้องดูกันไปตามข้อเท็จจริง" รองนายกฯ กล่าว

ซักว่าหากฝ่ายค้านหยิบยกมาเป็นประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและนายกฯ จะสามารถชี้แจงได้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่มีปัญหา จากนั้นนายภูมิธรรมย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า มั่นใจหรือว่าประเด็นดังกล่าวมีข้อเท็จจริงที่สามารถทำตามนี้ได้ 

"อยากให้ฝ่ายค้านทำงานบนพื้นฐานที่เข้าใจกัน และแก้ไขปัญหาตามที่กฎหมายทั้งหมดมี อย่าให้เสียเวลาประชาชนในการแก้ไขปัญหา กลับมาเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อเอาชนะ สร้างคะแนนแบบนี้ อย่างนี้ไม่เป็นประโยชน์ ฉะนั้นตนอยากฝากให้พิจารณาและไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี" นายภูมิธรรมกล่าว

พท.ดาหน้าป้องเศรษฐา

เมื่อถามว่า จะต้องเตือนเรื่องการพูดตรงของนายกฯ หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ต้องเตือน เพราะเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น และเราฟังกันแล้วก็เข้าใจว่านายกฯ อยากให้กระชับ และช่วยติดตามดูว่าการไปทำงานในพื้นที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร รวมถึงผู้กำกับและนายอำเภอจะช่วยกันแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบได้มากน้อยเพียงใด

"แม้จะได้ผู้กำกับที่พอใจหรือไม่พอใจ หรือสมหวังหรือไม่สมหวัง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาฝาก แต่หมายความว่าเมื่อเรามาอยู่แล้วเจอผู้กำกับและผู้ว่าฯ ที่สบายใจหรือไม่ แต่บางคนเจอผู้กำกับและผู้ว่าฯ ที่ทำงานได้ดีเขาก็สบายใจ บางคนเจอผู้ว่าฯ หรือผู้กำกับที่ทำงานไม่สอดคล้องกัน ก็อาจจะไม่สมหวัง ซึ่งประเด็นสาระสำคัญอยู่ตรงนี้" นายภูมิธรรมกล่าว

นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีกมธ.การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร จะเชิญนายกฯ ไปตอบคำถามเกี่ยวกับการแก้หนี้นอกระบบและการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในวันที่ 7 ธ.ค.ว่า เนื่องจากวันดังกล่าวทางพรรค พท.มีกำหนดการจัดสัมมนาพรรคที่จังหวัดนครราชสีมาล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงไม่สามารถจะเข้าไปตอบคำถามได้

"นายกฯ พร้อมตอบคำถามและชี้แจงในประเด็นดังกล่าว แต่ขอให้ กมธ.การตำรวจฯ ประสานมาที่ผมอีกครั้ง เพื่อดูเวลาที่ตรงกัน ส่วนนายกฯ จะไปเองหรือมอบหมายใครไป ก็คงต้องดูในรายละเอียดกันอีกครั้ง" นายสมคิดกล่าว

เช่นเดียวกับ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรค พท. ยืนยันว่า ข้อเท็จจริงในการประชุม สส.ทุกๆ สัปดาห์ นายกฯ จะประกาศชัดเจนการโยกย้ายแต่งตั้งอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนไม่ต้องเสียเวลาฝากที่นายกฯ เพราะตอนนี้ท่านไม่มีอำนาจในส่วนนี้แล้ว ซึ่งสมาชิกทุกคนก็รับรู้กันทั้งหมดแล้ว ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นต้องเล่าก่อนกว่า สส.อีสานนำเรื่องร้องเรียนไปแจ้งต่อนายกฯ ถึงปัญหากลุ่มหมวกกันน็อก และหนี้นอกระบบกำลังคุกคามประชาชนอย่างหนัก ซึ่งตั้งแต่ยุคไทยรักไทยมีการนำเอาผู้กำกับและนายอำเภอมาดึงเอาลูกหนี้ และเจ้าหนี้มาคุยกัน ทำให้แก้ไขปัญหาได้ ซึ่งนายกฯ ก็รับโจทย์ไป

นายวรวัจน์กล่าวว่า เรื่องยาเสพติดก็เป็นอีกปัญหาสำคัญ นายกฯ ได้รับว่าจะนำเรื่องนี้ไปดำเนินการ จนถึงวันประชุม สส.พรรค เมื่อวันอังคารที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา นายกฯ จึงนำเรื่องเหล่านี้มาเล่าให้ฟังว่าได้ไปดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้ว และจะมีการเรียกประชุมใหญ่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการต่อเนื่องต่อไป ซึ่งก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่ง บางคน บางพื้นที่ก็สมหวัง บางคน บางพื้นที่ก็ผิดหวัง

"ผมย้ำนะครับว่าเรื่องที่นายกฯ พูดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้าย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่นายกฯ จะมาเล่าเรื่องการโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจต่อหน้าสื่อ ทั้งที่ท่านก็เห็นว่ามีสื่อกำลังถ่ายภาพอยู่เต็มไปหมด เราพูดคุยกันถึงการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่มีการเสนอให้ตำรวจเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา รวมไปถึงปัญหายาเสพติดที่จะต้องเร่งรัดการแก้ไขครับ" สส.พรรค พท.รายนี้ระบุ

ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. แถลง Policy Watch ประเด็น “หยุดระบบตั๋วและปฏิรูปตำรวจไทย” ตอนหนึ่งระบุว่า  ปัญหาตั๋วที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มีมาอย่างยาวนาน และสังคมพูดถึงมาโดยตลอด ปัญหาที่เป็นต้นตอไม่ว่าจะการซื้อขายตำแหน่ง การใช้เส้นสาย เมื่อนายกฯ พูดออกมาอย่างชัดเจนในที่ประชุม นี่คือโอกาสที่เราจะเสนออย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาตั๋วตำรวจ เพื่อให้องค์กรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

นายรังสิมันต์กล่าวว่า นี่คือโอกาสที่เราจะพูดเรื่องนี้ และปักหมุดทางความคิดด้วยกระดุมทั้ง 5 เม็ด ผู้มีอำนาจที่จะแก้ได้ อาจจะไม่ใช่นายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา แต่หากเรามีบทสรุปของสังคมว่ากระดุม 5 เม็ดที่จะนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจมีอะไรบ้าง กระดุมเม็ดแรกต้องทำให้การเลือก ผบ.ตร.มาจากความสามารถ เพื่อประโยชน์ขององค์กรตำรวจ กระดุมเม็ดที่สองต้องกระจายอำนาจของตำรวจเพื่อให้จังหวัดและประชาชนเข้ามามีบทบาท กระดุมเม็ดที่สาม นายกฯ ต้องไม่ทำให้ตำรวจหิว หากต้องการแก้ปัญหาไม่ให้เกิดการคอร์รัปชันตำรวจ  กระดุมเม็ดที่สี่ รัฐบาลต้องส่งเสริมให้ตำรวจชั้นประทวนมีการเติบโตที่มากขึ้น กระดุมเม็ดที่ห้า รัฐบาลต้องเลิกให้ตำรวจทำในสิ่งที่ไม่จำเป็น

"ผมยอมรับว่ากระดุมทั้ง 5 เม็ดต้องใช้เวลา แต่ถ้าเราไม่เริ่มลงมือเลย ตำรวจก็จะเป็นเช่นนี้ ปัญหาขององค์กรตำรวจไม่ใช่ปัญหาของตำรวจทั้ง 2 แสนคน แต่เป็นปัญหาของเราทั้งหมด" นายรังสิมันต์กล่าว

โรมท้านายกฯ บอกอวดรู้จบ

จากนั้นนายรังสิมันต์ให้สัมภาษณ์ถึงตั๋วผู้กำกับว่า ถ้าฟังจากนายเศรษฐาทั้งหมดที่ตอนนี้ใช้วิธีการเงียบ ขณะนี้ข้อมูลที่ตนได้รับจากนาตาชาทั้งหลายค่อนข้างยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า ตั๋วการเมืองมีแน่ เดี๋ยวเราคงจะได้เห็นกันว่ามีมากน้อยแค่ไหนหลังจากโผออกมา ตนไม่ได้เป็นคนเห็นโผ จึงยังตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายจะจบแบบไหน แต่ถ้าโผออกมาเราคงจะเห็นความชัดเจน

"ถ้าตอบคำถามว่าตั๋วเพื่อไทยจะเป็นไซต์ไหน ผมขอจัดตั๋วเอาไว้ 5 ประเภท คือ ตั๋วช้าง, ตั๋ว สร.1 หรือตั๋วนายกฯ, ตั๋วผบ.ตร., ตั๋วนาย และตั๋วอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถจัดประเภทชัดเจนได้ ประเด็นคือ ตั๋ว สร.1 มากแค่ไหน ก็เกือบจะที่สุด เนื่องจากโดยมากแล้วเป็นสิ่งที่ถ้าขอก็มักจะได้ ขึ้นอยู่กับว่า สร.1 จะเอาแค่ไหน บางครั้งอาจจะจดว่าคนนี้ต้องได้ บางครั้งก็อาจจะจดว่าคนนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตั๋วเพื่อไทยในรอบนี้นายกฯ ทำแบบไหน คงต้องติดตามกัน ในวันที่ 7 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีการเชิญนายกฯ เข้ามาชี้แจงต่อ กมธ.ความมั่นคงฯ" นายรังสิมันต์กล่าว

ถามถึงลักษณะการตรวจสอบระหว่างตั๋ว สร.1 และตั๋วเพื่อไทย จะมีการเฉพาะเจาะจงไปในพื้นที่ของ สส. พรรค พท.หรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า รอดูโผก่อนดีกว่า ตนรอฟังจากแหล่งข่าวภายในยังไม่อยากสรุป แล้วจึงค่อยนำมาเทียบกัน ถ้ามีคำชี้แนะจากนาตาชาทั้งหลายที่อยู่ตามองค์กรตำรวจมาเป็นแนวทางว่าควรจะดูที่ตรงไหนก็จะช่วยให้เราตรวจสอบและทำงานได้เร็วขึ้น

ซักว่า การแสดงท่าทีต่อความรับผิดชอบของนายกฯ ควรมีมาตรฐาน เนื่องจากการชี้แจงที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจน ทำให้บางฝ่ายเรียกร้องให้มีการลาออก นายรังสิมันต์กล่าวว่า คำพูดของนายกฯ ชัดเจนว่าหมายถึงเรื่องตั๋ว และตนเองก็เกี่ยวข้องกับการฝากตั๋ว โดยที่มาก็อาจจะมาจาก สส.ของพรรคตัวเอง แบ่งได้สองทางคือ 1.คำพูดของนายกฯ น่าเชื่อถือ เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็มองไปในทิศทางนี้ว่านายกฯ คงจะรู้ว่าใครสมหวัง หรือไม่สมหวัง จึงสามารถพูดได้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย 2.ถ้านายกฯ ประกาศต่อสังคมว่าโกหก ตนเองไม่น่าเชื่อถือ ต้องการแค่อวดรู้ ต้องการพูดส่งเดชไปอย่างนั้น เราก็อาจเอาผิดนายกฯ ไม่ได้

 “ถ้านายกฯ บอกว่าผมเป็นคนน่าเชื่อถือ ผมพูดอะไรมา ผมต้องมีข้อเท็จจริงก่อน ผมมีสติสัมปชัญญะในการพูด เราไม่ได้มีคนวิกลจริตเป็นนายกฯ ถ้าเป็นในลักษณะแบบนั้น นายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะคำพูดของนายกฯ คือหลักฐานที่มัดตัวนายกฯ เอง ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย” นายรังสิมันต์กล่าว

สส.พรรค ก.ก.ตั้งคำถามว่า คุณใช้มาตรฐานไหนกับความผิดที่ชัดเจนแบบนี้ ถ้าเป็นปกติของประเทศที่มีอารยะ ถ้าเจออะไรที่เป็นความผิดมาก นายกฯ ก็จะมีความรับผิดชอบทางการเมืองหน่อย บางประเทศก็อาจจะลาออก ผิดกฎหมายหรือเปล่าไม่รู้ แต่กรณีนี้หนักที่เป็นกรณีของระบบอุปถัมภ์ เป็นกรณีที่ขัดแย้งต่อสิ่งที่นายกฯ ได้หาเสียงเอาไว้ตอนหาเสียง แล้วผิดกฎหมายด้วย

 “คำถามคือนายกฯ ยังมีสปิริตและแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองที่จะลาออกไหม เป็นเรื่องของนายกฯ ที่ต้องตัดสินใจ และเป็นสิ่งที่เราจะต้องใช้เป็นตัววัดคุณภาพของนายกฯ คนนี้” สส.พรรค ก.ก.ระบุ

เมื่อถามถึงกรณีที่นายภูมิธรรมระบุฝ่ายค้านพยายามเชื่อมโยงเรื่องนี้กับการเมืองเพื่อหวังคะแนนนิยม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรายังไม่เห็นสัญญาณการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆ นี้ สิ่งที่นายภูมิธรรมพูดคือการเบี่ยงประเด็น ข้อเท็จจริงคือ ตกลงแล้วนายกฯ มีตั๋ว สร.1 หรือไม่ ฝากโดย สส.เพื่อไทยใช่หรือไม่ เราไปสืบสวนสอบสวนกันจริงๆ แล้วพบว่ามีการฝากกันจริง สส.เพื่อไทยกี่คน ละลายทั้งพรรคหรือเปล่า ผิด ม.185 กันกี่คน นายกฯผิด ม.186 หรือไม่

 “อย่าบอกว่ามาโยงเรื่องการเมืองหรือเรื่องอะไรทั้งสิ้น มันอยู่ที่ข้อเท็จจริง  เราเป็นนักการเมือง เรามีหน้าที่ตรวจสอบ เมื่อนายกฯ พูดเรื่องนี้คุณจะให้ฝ่ายค้านเงียบหรือ พอตรวจสอบไปแล้วพูดไปแล้วจะให้หยุดพูดหรือ ถ้าหยุดพูดแล้วกระบวนการยุติธรรมจะเป็นธรรมใช่ไหม ที่เรื่องทั้งหมดมาถึงขนาดนี้คนที่ชี้เบาะแสออกมาเปิดโปงเรื่องนี้คือนายกฯที่ชื่อเศรษฐา ขอบคุณคุณเศรษฐาที่ช่วยยืนยันว่าวันนี้ระบบอุปถัมภ์ยังมีอยู่” นายรังสิมันต์กล่าว

ปปช.ลุยสอบตั๋วเพื่อไทย

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เข้ายื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์ในการใช้อำนาจของนายเศรษฐา ในฐานะประธาน ก.ตร.เข้าไปก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการแต่งตั้งนายตำรวจระดับ ผกก.หรือไม่ จากกรณีที่นายกฯพูดในที่ประชุม สส.พรรคเมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 ที่ผ่านมา

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า คำพูดของนายกฯ เป็นเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 วรรคสอง เข้าข่ายการฝ่าฝืนจริยธรรม ส่วน สส.ที่มีพฤติการการขอตำแหน่งไปยังนายกฯ จะเข้าข่ายความผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (3) แต่พฤติการณ์ของ สส.ก็เข้าข่ายผิดจริยธรรรมด้วย 

"ที่นายกฯ ออกมาชี้แจงก็เหมือนเป็นการแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ว่าไม่มีเจตนาและไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย ซึ่งเป็นการแก้ตัวและหาเหตุอ้างว่าตัวเองไม่ได้ทำ แต่คำพูดที่ออกมาเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจน นักการเมืองนักวิชาการหลายคนก็พูดตรงกันว่า เป็นเหมือนใบเสร็จ ที่ไม่สามารถลบล้างสิ่งที่พูดไปแล้วได้" นายศรีสุวรรณระบุ

ส่วนนายภูเทพ ทวีโชติธนากุล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะรองโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณยื่นร้องเรียนว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ที่ ป.ป.ช.จะต้องตรวจสอบ โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ปรากฏตามสื่อว่าเข้าเงื่อนไขความผิดตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เรามีกรอบเวลาดำเนินการอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่สาธารณะให้ความสนใจก็จะจัดลำดับขึ้นมาดำเนินการ 

ถามว่า คลิปที่นายกฯ พูดในที่ประชุม สส.พรรค สามารถนำมาประกอบการพิจารณาได้หรือไม่ นายภูเทพกล่าวว่า ต้องรวบรวมทั้งที่ปรากฏตามสื่อ ผู้หวังดีส่งให้หรือข้อมูลนายศรีสุวรรณส่งมาให้วันนี้ จะนำมาประกอบทั้งหมด แต่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ ป.ป.ช. และเราสามารถส่งเจ้าหน้าที่ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ 

เมื่อถามถึงบทลงโทษสูงสุด กรณี สส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปก้าวก่ายการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ นายภูเทพกล่าวว่า มี 2 ส่วน ถ้าเป็นเรื่องฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมร้ายแรงจะเป็นการพ้นจากตำแหน่งและถูกตัดสิทธิ์ แต่ถ้าเป็นเรื่องของการแทรกแซง ข้าราชการฝ่ายประจำที่มีการแต่งตั้งก็ถือว่าเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ต้องดูว่าเข้าเงื่อนไขใด

ถามอีกว่า ตามกฎหมายผิดทั้งคนขอและคนให้ใช่หรือไม่ นายภูเทพกล่าวว่า ถ้าครบเงื่อนไขทั้งหมด เมื่อถามว่า ป.ป.ช.กดดันหรือหนักใจหรือไม่ ที่ต้องสอบบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นถึงนายกฯ นายภูเทพกล่าวว่า มันเป็นงานประจำของ ป.ป.ช.อยู่แล้ว ทำมาตั้งแต่ปี 2542 ตรวจสอบนายกฯ มาตั้งหลายคน รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ เป็นงานปกติของ ป.ป.ช. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย! เศรษฐาห่วงใยสุขภาพประชาชน

นายกฯ ห่วงใยสุขภาพพี่น้องประชาชนจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อนทางตอนบนของประเทศไทย ช่วง 3 - 7 พ.ค.นี้