เคาะจีดีพีพุ่ง3.7% นายกฯเบรกค่าไฟ

“แบงก์ชาติ” เคาะจีดีพีไตรมาส 4/2566 พุ่ง 3.7% มองเศรษฐกิจเดือน พ.ย.ยังฟื้นตัวต่อเนื่อง อานิสงส์บริโภคภาคเอกชน-ท่องเที่ยวช่วยหนุน ซีอีโอ 68 บจ. แนะรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่สร้างภาระการคลัง ไม่บิดเบือนกลไกตลาด วอนรักษาเสถียรภาพทางการเมือง  นายกฯ ไม่ยอม กกพ.มีมติขึ้นค่าไฟเป็น 4.68 บาท

 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.) กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2566 คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3.7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง  ส่วนหนึ่งจากฐานในไตรมาส 4 ปีก่อนค่อนข้างต่ำมาก โดยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ย.2566 คาดว่าจะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงส่งสำคัญจากการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันยังต้องติดตามการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้า ผลกระทบของเอลนีโญต่อผลผลิตและราคาสินค้าเกษตร รวมถึงผลกระทบจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่อราคาพลังงาน

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือน ต.ค.2566 นั้น อยู่ในทิศทางฟื้นตัวตามอุปสงค์ในประเทศ ทั้งการบริโภคที่ขยายตัว 1.7% จากเดือนก่อนหน้า โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในเกือบทุกหมวดสินค้าหลัก ยกเว้นการใช้จ่ายในหมวดบริการที่ปรับลดลงจากหมวดโรงแรมและภัตตาคาร สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่ลดลง โดยการบริโภคที่เพิ่มขึ้นมีปัจจัยสนับสนุนจากการจ้างงานและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 1.4% จากเดือนก่อนหน้า โดยเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นจากยอดจำหน่ายเครื่องจักรในประเทศและการนำเข้าสินค้าทุน ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์ทรงตัวจากเดือนก่อน สำหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นตามพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างและยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง

ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วลดลงจากเดือนก่อน ตามนักท่องเที่ยวรัสเซีย หลังเร่งไปในช่วงก่อนหน้า และนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่ชะลอการเดินทางเพื่อรอวันหยุดพิเศษในเดือน พ.ย. หลังจากที่ทางการได้ประกาศเพิ่มเติม ขณะที่นักท่องเที่ยวบางสัญชาติปรับดีขึ้น อาทิ จีน ที่ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากมาตรการยกเว้นการยื่นวีซ่า และกลุ่มยุโรป โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรและเยอรมนี ส่วนรายรับภาคการท่องเที่ยวชะลอลงจากเดือนก่อน สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวและอัตราการเข้าพักแรมที่ลดลง โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค.2566 พบว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้ว 22.2 ล้านคน

ทั้งนี้ ในส่วนของมูลค่าการส่งออกสินค้า หดตัว 1.4% จากการส่งออกเครื่องประดับไปฮ่องกง หลังเร่งไปในเดือนก่อนที่มีงานจัดแสดงสินค้า, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จากการส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ลดลงตามรอบการส่งมอบสินค้า และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ลดลงตามการส่งออกไปสหรัฐและฮ่องกง และสินค้าเกษตร ตามการส่งออกผลไม้ไปจีน อย่างไรก็ตาม การส่งออกบางหมวดปรับเพิ่มขึ้น อาทิ ยานยนต์ไปออสเตรเลีย และปิโตรเลียมไปอาเซียน ส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าไม่รวมทองคำที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วลดลงจากเดือนก่อนจากหมวดเชื้อเพลิง ตามปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบ, สินค้าอุปโภคและบริโภค ตามการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าและสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน ตามการนำเข้าคอมพิวเตอร์หลังเร่งไปมากในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี การนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางไม่รวมเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ

 “การส่งออกในช่วง 2 เดือนหลังไม่ได้ดีมากขนาดนั้น และที่คุยกันไว้ มองว่าวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์มาช้ากว่าที่คาด ซึ่งอาจมีปัญหาจากประเทศคู่ค้าอย่างจีนที่ฟื้นตัวช้า ดังนั้นตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคส่งออกที่จะดีกว่านี้ในช่วงไตรมาส 4/2566 หรือไตรมาส 1/2567” น.ส.ชญาวดีกล่าว

อย่างไรก็ดี ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ   อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากหมวดพลังงานและอาหารสด โดยหมวดพลังงานลดลงจากมาตรการลดราคาน้ำมันดีเซลของภาครัฐ และราคาน้ำมันเบนซินที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่หมวดอาหารสดลดลงจากผลของฐานสูงในราคาผักเป็นสำคัญ  ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวจากเดือนก่อน ด้านตลาดแรงงานฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง  ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยอ่อนค่าลง เนื่องจากตลาดปรับเพิ่มการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน รวมถึงความไม่แน่นอนของผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส

น.ส.สุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์ ฝ่ายวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน 68 บริษัท จาก 21 หมวดธุรกิจ รวม เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ และการประกอบธุรกิจในปี 2566-2567 พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลควรออกนโยบายที่สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ไม่สร้างภาระด้านการคลังในอนาคตมากเกินไป และที่ไม่บิดเบือนกลไกตลาดและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยควรให้เอกชนร่วมเสนอนโยบาย และเร่งการปลดล็อกกฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัย เพื่อส่งเสริมศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และพยายามรักษาเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่นและช่วยดึงดูดเงินลงทุนของต่างประเทศ และสร้างประเทศเป็นจุดเชื่อมโยงระดับภูมิภาค

ทั้งนี้ ผู้บริหารส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจีดีพีจะเติบโตที่ระดับ 2-3% เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนของการท่องเที่ยว นโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ระดับ 3-4% แต่ต้องติดตามเรื่องเสถียรภาพการเมืองในประเทศ กำลังซื้อในประเทศ และการส่งออกจะเป็นปัจจัยเสี่ยง

ขณะที่ ภาพรวมรายได้ของบริษัท ผู้บริหารส่วนใหญ่คาดว่ารายได้ปี 2566 ดีขึ้น โดย 53% คาดว่ารายได้จะเติบโต 10% ขึ้นไป และเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 และคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในปี 2566 และปี 2567 ดีขึ้นในทิศทางเดียวกันกับรายได้ ส่วนการลงทุนในปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 โดยเป็นบริษัทจดทะเบียนในหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น

ที่โรงแรมสีหราช จังหวัดอุตรดิตถ์   นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ กรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติขึ้นค่าไฟเป็น 4.68 บาท ว่า "4.68 บาท โอ๊ย ไม่ได้หรอกครับสูงเกินไป ผมในฐานะประธานจะต้องมีการเรียกประชุม ไม่ยอมหรอกครับ"

เมื่อถามย้ำว่า การปรับขึ้นดังกล่าวสูงกว่าเพดานที่รัฐบาลเคยตั้งไว้หรือไม่  นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็จะเข้าไปพูดคุยรายละเอียดทั้งหมดในฐานะประธาน กกพ. เมื่อถามว่าจะเป็นมาตรการต่อเนื่องหรือไม่สำหรับเรื่องของการลดราคาไฟฟ้า    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็ต้องไปนั่งดูก่อนเพราะเป็นเรื่องของงบประมาณด้วย แต่ขึ้นไปถึง 4.68 บาท คงไม่ไหว เยอะเกินไป

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ามีแนวโน้มที่จะขึ้นใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แนวโน้มจะขึ้นจาก 3.99 บาท แต่ไม่ถึง 4.68 บาทแน่นอน เมื่อถามว่าจะทำในลักษณะวินวิน คือทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "ต้องทำให้ได้สิครับ ต้องทำให้ได้"

เมื่อถามว่า จะต้องมีการรื้อโครงสร้างพลังงานเลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็คงเป็นจุดหนึ่งที่ต้องมีการพูดคุยกัน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า  นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน ได้กำชับให้คณะทำงานได้หาแนวทางลดภาระค่าไฟประชาชน ไม่ให้เจอแรงปะทะหลังปีใหม่ โดยจัดการราคาไว้ให้อยู่ที่ 4 บาทต้นๆ ต่อหน่วย และจะพยายามทำตัวเลขให้ลดลงได้มากที่สุด ซึ่งราคาใกล้เคียงความเป็นจริงที่กระทรวงจัดการได้ราวๆ 4.20 บาทต่อหน่วย โดยใช้กลไกจัดการผสมผสาน หลายขั้นตอนกว่าการลดราคาค่าไฟปกติทั่วไป ไม่ได้ใช้แค่เรื่องประวิงหนี้ กฟผ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รมต.ใหม่ถวายสัตย์ เศรษฐานำเข้าเฝ้าฯ3พ.ค. แม้วควงสุวัจน์ทัวร์ภูเก็ต

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ "มาริษ" เป็น รมว.ต่างประเทศ "นายกฯ" เตรียมนำ รมต.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ 3 พ.ค.นี้