เย้ยปาหี่ดิจิทัล นิดฟังเสียงสส.

“เจ๊แจ๋น” ย้ำ ครม.สัญจรเคาะงบศึกษากระเช้าภูกระดึง 28 ล้านบาทแล้ว ยัน 3 เดือนจังหวัดสรุปผลได้ แต่ ทส.จะใช้เวลาเท่าไหร่ไม่รู้ “จตุพร” ซัด “เศรษฐา-จุลพันธ์” เล่นปาหี่ดิจิทัล วอลเล็ตปมส่งเรื่องให้กฤษฎีกา อัดพูดคนละทางไม่ถามให้จบในทีเดียว ข้องใจดึงงบปี 2567 ให้ล่าช้าเหมือนอยากให้เกิดวิกฤต “สรวงศ์” ยันสัมมนาพรรคเพื่อไทยไม่มีอะไรพิเศษ ลั่นไม่คุยเรื่องนิรโทษกรรมแน่ “เทพไท” ยก 7 เหตุผลหนุนอภิสิทธิ์กลับมานั่งหัวเรือกอบกู้ประชาธิปัตย์

เมื่อวันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2566 ยังคงมีความต่อเนื่องในผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร)  ที่จังหวัดหนองบัวลำภู โดยเฉพาะโครงการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นภูกระดึง โดยนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ย้ำว่า ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. วาระการประชุมมีการนำเสนอโครงการของแต่ละจังหวัดเข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งจังหวัดเลยมีการเสนอโครงการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นภูกระดึงด้วย และที่ประชุมอนุมัติในหลักการ เพื่อนำไปเรียงลำดับพิจารณาความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณ และในรายละเอียดโครงการเสนอให้ออกแบบการก่อสร้างที่ใช้งบประมาณ 28 ล้านบาท นำไปประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 “ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้สร้างโครงการกระเช้าลอยฟ้า เพื่อสร้างรายได้ในพื้นที่และสร้างรายได้เข้าจังหวัด ขณะเดียวกันก็มีการทำอีไอเอมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาแบบก่อสร้างที่ผ่านมามีทั้งการสร้างกระเช้าลอยฟ้าคู่กับสร้างทางเดินขึ้น” นางพวงเพ็ชรกล่าว และว่า ภูกระดึงเป็นอุทยานแห่งชาติ เวลาจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง เรื่องสิ่งแวดล้อมและขยะ ส่วนการดำเนินการจะแล้วเสร็จในรัฐบาลนี้หรือไม่นั้น ก็อยู่ที่การดำเนินงาน งบประมาณและจังหวัด ซึ่งการออกแบบการก่อสร้างจะใช้เวลา 3 เดือน ส่วนทาง ทส.จะดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อไหร่นั้น ไม่ได้มีกำหนดไว้

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์  วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่ากรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ชี้แจงความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่ตรงกันว่า สะท้อนถึงการตบหน้า ดูถูกประชาชนเป็นของเล่นทางอำนาจบริหารประเทศ โดยนายเศรษฐาบอกได้คุยกับ รมช.การคลังแล้วว่าจะส่งร่างพระราชบัญญัติกู้เงินให้กฤษฎีกาตรวจสอบ แต่นายจุลพันธ์กลับพูดคนละเรื่อง ว่าเป็นการส่งคำถามให้พิจารณาทางกฎหมายกับการแจกเงินดิจิทัล ไม่เกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

นายจตุพรกล่าวว่า คำชี้แจงประชาชนจากรัฐมนตรีทั้งสองคนกลับไปกลับมาราวกับเห็นประชาชนเป็นเพื่อนเล่น และการให้เหตุผลที่ย้อนแย้งสะท้อนถึงการไม่ให้คุณค่าประชาชน  เนื่องจาก รมช.การคลังตั้งคำถามเพียงเรื่องแจกเงินดิจิทัลขัดแย้งกับกฎหมายเงินตราหรือไม่ แต่ยังไม่เป็นที่ยุติ เพราะมี พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทอีก ถ้าไม่มีเงินก็แจกเงินดิจิทัลไม่ได้เช่นกัน ทำไมถึงไม่ถามการกู้เงินกับการแจกเงินดิจิทัลมีความสัมพันธ์กัน เพราะการส่งคำถามถึงกฤษฎีกาให้ครอบคลุมเป็นที่ยุติในคราวเดียวกันได้

‘จตุพร’ ข้องใจถ่วงงบ 2567

 “การแจกเงินดิจิทัลเริ่มต้นไม่มีความตรงไปตรงมา หลอกตั้งแต่ปก และไม่ตรงปกสักอย่าง แล้วมารอคำตอบจากกฤษฎีกา ทั้ง รมว.การคลังกับ รมช.การคลัง ก็พูดกันคนละทาง ชี้ได้ว่าประเทศไร้ระบบและไม่เคารพประชาชนตามที่รับปากไว้ แต่ไปทำอีกอย่างแสดงถึงการดูแคลนประชาชน” นายจตุพรกล่าว และว่า การส่งคำถามให้กฤษฎีกา ควรถามให้ครบทุกประเด็นที่สัมพันธ์กัน ทั้งการแจกเงินดิจิทัลผิดกฎหมายการเงินหรือไม่ และกู้เงินมาแจกทำได้หรือไม่ เข้าข่ายเร่งด่วน วิกฤตตามกฎหมายวินัยการเงินการธนาคาร มาตรา 53 หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องถามให้จบทุกกระบวนการที่สัมพันธ์กันดัวย

นายจตุพรยังตั้งข้อสังเกตถึงการดึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ที่รัฐบาลเพิ่งพิจารณากรอบวงเงิน (ประมาณ 3.59 ล้านล้านบาท) เมื่อ 4 ธ.ค.ว่า เป็นการถ่วงรั้งงบไว้ต้องการให้เกิดวิกฤตหรือไม่ ทั้งที่หลักการบริหารประเทศอันดับแรกต้องให้ความสำคัญกับงบประมาณแผ่นดินเพื่อมีเงินไปพัฒนาประเทศ แต่รัฐบาลกลับทำให้เกิดความล่าช้าและหาสาเหตุไม่เจอ

“รัฐบาลต้องการอะไร อยากให้เกิดวิกฤตหรือเปล่า ซึ่งการดึงร่างงบประมาณ 2567 ไว้เป็นความแปลกประหลาดที่สุด ไม่แตกต่างจากการจะส่งคำถามถึงกฤษฎีกากรณีเงินดิจิทัลเพียงครึ่งเดียวคือ ถามแต่เงินดิจิทัล แต่ไม่ถามเรื่องเงินกู้ที่สะท้อนถึงความวิกฤตไปด้วยเลย” นายจตุพรกล่าว

ด้านความเคลื่อนไหวของนายเศรษฐา มีรายงานว่า ในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ นายเศรษฐามีกำหนดลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ในเวลา 11.00 น. เพื่อติดตามความคืบหน้าเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ก่อนเดินทางไปติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากบริเวณถนนชุมชนเมืองกาญจน์ เดินทางไปยังสะพานแม่น้ำแคว เพื่อเยี่ยมชมสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควประจำปี 2566 ก่อนขึ้นเครื่องไปยังท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เพื่อร่วมงานเปิดมหกรรมศิลป์ร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 ที่หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย

สำหรับการสัมมนาพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่เขาใหญ่ในวันที่ 6-7 พ.ค.นั้น นายเศรษฐากล่าวถึงการชี้แจงหรือสรุปผลงานหรือไม่ว่า ยังไม่ทราบ โดยในวันที่ 6 ธ.ค.จะเดินทางไปตอนบ่าย หลังจากเสร็จภารกิจช่วงเช้าแล้ว

นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว ในฐานะเลขาธิการพรรค พท. กล่าวในเรื่องนี้ว่า ไม่มีประเด็นอะไรเป็นพิเศษ เป็นการให้สมาชิกภายในพรรคได้พบปะกัน เพราะเราทิ้งช่วงห่างการสัมมนาพรรคมานานพอสมควร และพรรคเพิ่งมีกรรมการบริหารชุด (กก.บห.) ใหม่เข้ามา คงจะมีกิจกรรมระดมความคิดสิ่งที่สมาชิกพรรคแสดงออกว่าอยากเห็นอนาคตของพรรคเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้พรรคมีสมาชิกที่แบ่งเป็นกลุ่มได้ 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ สส. รัฐมนตรีในสัดส่วนพรรค และข้าราชการการเมือง ซึ่งทุกกลุ่มจะได้ร่วมพูดคุยกัน เพื่อกำหนดอนาคตของพรรค แต่คงไม่ลงรายละเอียดอะไรมากเป็นพิเศษ

เมื่อถามถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ระบุว่าพรรค พท.เตรียมเสนอประกบกับร่างของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง นายสรวงศ์กล่าวว่า ตอนนี้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคกำลังร่างอยู่ ยังไม่เห็นรายละเอียด แต่เมื่อเราเสนอเข้าสภาแล้วก็จะตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ขึ้นมาเพื่อพิจารณาถึงรายละเอียดกฎหมายดังกล่าว อยากให้รายละเอียดอยู่ในการพิจารณาของ กมธ. มากกว่าการถกกันในห้องประชุมใหญ่ เพราะกลัวประเด็นจะแตกเกินไป อยากให้ตกผลึกในชั้น กมธ.วิสามัญก่อน และหากใครมีข้อเสนอแนะก็ให้เป็นข้อเสนอแนะใน กมธ.ไป

เมื่อถามถึงกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ระบุว่ายังไม่มีการพูดคุยกันภายในพรรค นายสรวงศ์กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวพรรคมีการศึกษากันอยู่ ส่วนที่ นพ.ชลน่านระบุนั้น อาจหมายถึงการหารือของรัฐบาลหรือไม่ แต่เรื่องนี้สุดท้ายต้องหารือร่วมกันแน่นอน

สัมมนา พท.ไม่คุยนิรโทษฯ

ถามอีกว่า บางพรรคการเมืองไม่เห็นด้วยหากนิรโทษฯ คดีทุจริตรวมอยู่ในนั้น นายสรวงศ์กล่าวว่า จริงๆ อยู่ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ซึ่งการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมขึ้นมาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ โดยอะไรที่เป็นคดีทางการเมืองที่เป็นเรื่องของความคิดเราเห็นด้วยแน่นอน แต่หากเป็นเรื่องของการทำผิดกฎหมายอื่นๆ นั้น ต้องดูในรายละเอียด

เมื่อถามว่า จะมีการนำเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าพูดคุยในวันสัมมนาพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน เรื่องนี้เป็นการประชุมของทีมผู้บริหารพรรค จากนั้นจะนำเสนอต่อที่ประชุมพรรคต่อไป

ส่วนนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลเดินหน้าทำงานมากว่า 2 เดือนแล้ว ระหว่างนี้เป็นช่วงปิดสมัยประชุมสภา พรรค พท.จึงจัดสัมมนาขึ้นเพื่อให้ฝ่ายบริหารที่มาจากพรรค ทั้งนายกฯ รัฐมนตรีของพรรคได้พบปะพูดคุยกับ สส.ที่เป็นตัวแทนประชาชนในฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อบอกกล่าวสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ เพื่อให้ สส.ไปบอกต่อยังประชาชนและรับฟังเสียงสะท้อนกลับมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล และเป็นการเตรียมความพร้อมของ สส.ก่อนเปิดสมัยประชุมในวันที่ 12 ธ.ค. เพราะจะมีการผลักดันกฎหมายเข้าสภาหลายเรื่อง อาทิ พ.ร.บ.ประมง, พ.ร.บ.ราง และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ที่จะใช้ขับเคลื่อนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย การเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ รวมถึงการผลักดันนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต

“การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของสมาชิกพรรคทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติให้การดำเนินงานของพรรคเพื่อไทยตรงกับความต้องการของประชาชนมากที่สุด” นางมนพรกล่าว

 ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค พท. ปฏิเสธให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเศรษฐาให้พิจารณาทบทวนงบประมาณ 5,164 ล้านของโครงการซอฟต์พาวเวอร์ หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้งบประมาณมากเกินไป โดย น.ส.แพทองธารกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า จะให้สัมภาษณ์ในวันสัมมนาของพรรคที่ จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 6-7 ธ.ค. และยังปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยยิ้มส่ายหน้าพร้อมโบกมือและส่ายนิ้วชี้ไปมาเชิงปฏิเสธในการตอบคำถาม

วันเดียวกัน ยังมีความเคลื่อนไหวในการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โดยนายสัมพันธ์ ทองสมัคร อดีตนักการเมืองอาวุโสพรรค ปชป. ระบุว่า การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคจะเป็นตัวที่บ่งชี้ชัดว่าพรรคจะเดินไปอย่างไร และต้องมาทบทวน เพราะ ปชป.เที่ยวนี้หนักหน่อย ทำอย่างไรจะฟื้นฟูให้ได้ ต้องดูว่าเลือกมาแล้วจะสามารถทำพื้นที่ใน กทม.ให้กลับคืนมาได้ เพราะอดีตไม่เคยมีว่า ปชป.แพ้ในพื้นที่ กทม. ดูว่าคนที่เราเลือกมาเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ทันสมัยหรือไม่ และต้องปรึกษาหารือคนเก่าๆ  บ้าง

‘เทพไท’เชียร์เลือก‘มาร์ค’

“ที่ผ่านมาปักษ์ใต้ล้มเหลวไปหมดเกือบทุกจังหวัด สุราษฎร์ธานีไม่ได้สักคน ตรังได้ 1 คน นครศรีธรรมราชก็ได้มาส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะฟื้นพื้นที่ภาคใต้ กทม.และฟื้นทั้งประเทศ นี่คือประเด็นปัญหาที่จะต้องระดมความคิดร่วมกัน” นายสัมพันธ์กล่าว

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “อภิสิทธิ์ คือทางรอดของประชาธิปัตย์”  ระบุว่า การเลือกตั้งหัวหน้าพรรค ปชป.ในวันที่ 9 ธ.ค. จะได้ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่แน่นอน จะไม่มีเรื่ององค์ประชุมล่มครั้งที่ 3 แล้ว และจากกระแสข่าวมีผู้เสนอตัวเข้าแข่งขันเป็นหัวหน้าพรรค 2 คน คือ นายนราพัฒน์ แก้วทอง กับ น.ส.วทันยา บุนนาค ซึ่งต่างก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ถ้าหากดูจากกระแสภายนอกพรรค จะเห็นได้ว่าคะแนนนิยมของคุณวทันยาเหนือกว่าคุณนราพัฒน์ แต่ถ้าดูกระแสความนิยมภายในพรรค โดยเฉพาะโหวตเตอร์ที่เป็น สส. คุณนราพัฒน์มีคะแนนเหนือกว่าหลายขุม

นายเทพไทกล่าวอีกว่า ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าของ ปชป. แต่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี เป็นคนไม่มีอนาคตทางการเมือง และไม่หวังผลตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ขอแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าพรรค และกอบกู้พรรคให้กลับมาเป็นที่นิยมได้ คือคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น เพราะ 1.เป็นคนที่มีจุดยืนทางการเมืองชัดเจน โดยเฉพาะหลักการประชาธิปไตย 2.เป็นคนมีสัจจะวาจา คำไหน คำนั้นตัวจริง 3.สามารถเชื่อมต่อ เติมเต็มช่องว่างของกลุ่มคนภายในพรรคได้ทุกกลุ่ม 4.คะแนนนิยมหรือฐานเสียงของพรรค ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพ และภาคใต้ ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ยังเป็นที่นิยม 5.ฐานเสียงเดิมของพรรค ที่เคยเลือกพรรคมาก่อนประมาณ 11 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางและกลุ่มอนุรักษนิยมจะกลับมาสนับสนุนพรรคเหมือนเดิม 6.ไม่มีข้อสงสัยในภาวะผู้นำของคุณอภิสิทธิ์ 7.พรรคจะเติบโต เรียกศรัทธาและความนิยมกลับคืนมาได้ ด้วยบทบาทการเป็นพรรคฝ่ายค้าน

 “คุณอภิสิทธิ์ไม่ใช่ยาวิเศษ ถ้ากลับมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว จะทำให้พรรคเติบโตแบบก้าวกระโดด เป็นพรรคการเมืองที่มี สส.เกิน 100 คนเหมือนในอดีต แต่เชื่อว่าสามารถนำพาพรรคค่อยๆ เติบโตทางการเมืองขึ้นได้ตามลำดับจนเป็นพรรคหลัก หรือขั้วการเมืองได้อีกในอนาคต” นายเทพไทระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง