รพ.ตำรวจไฟเขียว กมธ.บุกหาทักษิณ

ไปแน่! "ชัยชนะ" ยัน กมธ.ตำรวจพร้อมบุกหา "นักโทษเทวดา" 12   ม.ค.นี้ หลังได้รับอนุญาตจากหมอใหญ่  รพ.ตำรวจ ลั่นจะสอบถามนักโทษทุกคนที่รักษาตัวอยู่ที่นั่น รวมถึง "น.ช.ทักษิณ"  ด้วย ว่าได้รับการดูแลดีหรือไม่ เปรียบเทียบว่าทำไมถึงได้พักชั้น 14 ส่งสัญญาณถึงเจ้ากรมคุก ระวังตกเป็นจำเลยสังคมไปตลอดชีวิต ส่วน คปท.ประกาศชุมนุมค้างคืนหน้าทำเนียบฯ 12-14 ม.ค.นี้

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2567 นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่โรงพยาบาลตำรวจอนุญาตให้ กมธ.การตำรวจเข้าศึกษาดูงานได้ว่า ขณะนี้เราได้รับหนังสือตอบรับจากโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งทางโรงพยาบาลตำรวจให้ทาง กมธ.การตำรวจเดินทางไปโรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 12 ม.ค. เวลา 10.00 น. เพื่อสอบถามว่าขั้นตอนรับเข้าของผู้ต้องขัง รวมถึงขั้นตอนในการดูแลเป็นอย่างไร แล้วจะได้สอบถามนักโทษทุกคนที่อยู่ที่นั่น รวมถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในส่วนของสื่อมวลชน ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้อยู่บริเวณหน้าอาคาร และอนุญาตเพียง กมธ.การตำรวจเท่านั้นที่จะขึ้นไปข้างบนโรงพยาบาลได้ ซึ่งหลังจากนั้นก็จะมีการแถลงข่าว

เมื่อถามว่า เป้าหมายของ กมธ.การตำรวจคือการไปติดตามว่านายทักษิณรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ใช่หรือไม่ นายชัยชนะกล่าวว่า เราต้องใช้คำว่าไปดูผู้ต้องขังคนอื่นด้วย เพื่อดูวิธีการรักษาเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ ผู้ต้องขังคนอื่นพักอยู่ที่ชั้นไหน ทำไมนายทักษิณได้พักอยู่ที่ชั้น 14 เราต้องดูข้อแตกต่างในตรงนี้

 “ผมอยากฝากคำถามผ่านสื่อมวลชน ถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่ขณะนี้ยังไม่ตอบหนังสือมา ท่านคิดทบทวนให้ดี ท่านต้องให้ความร่วมมือกับ กมธ.การตำรวจ ท่านตอบมาว่ามีความเห็นอย่างไร ขณะนี้โรงพยาบาลตำรวจตอบมาแล้ว แต่ท่านเป็นเจ้าของไข้ที่รักษาตัวอยู่ ท่านยังไม่ตอบมา ท่านมีความคิดอย่างไร ไม่อย่างนั้นท่านก็เป็นจำเลยของสังคมตลอดชีวิต" นายชัยชนะกล่าว

ถามว่า หากมีการเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ทาง กมธ.การตำรวจจะมีการดำเนินการอย่างไร นายชัยชนะกล่าวว่า ก็ดำเนินการตามกฎหมาย กฎหมายมีอยู่แล้ว เนื่องจากการรักษาตัวของผู้ต้องขัง ใช้เงินของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และทางกรมราชทัณฑ์ได้แจ้งว่าจำนวนเงินเกิน สามารถใช้เงินส่วนตัวได้ ตนก็บอกว่าให้เอารายละเอียดมา โดยเราได้ทำหนังสือถึงกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ให้ส่งเอกสารที่เราขอไปทั้งหมดแล้ว

ส่วนอาการป่วยของนายทักษิณ จะป่วยมากแค่ไหนเราไม่สามารถตอบได้อยู่แล้ว ซึ่งทางแพทย์ได้ชี้แจงชัดเจนแล้วว่า เป็นกฎหมายที่สงวนไว้ระหว่างผู้ป่วยและผู้รักษาไข้ แต่ประเด็นเราต้องดูขั้นตอน ว่ามีนักโทษกี่คนที่ขึ้นไปรักษาตัวที่ชั้น 14 มีการปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง ตรงนี้คือประเด็นสำคัญมากกว่า

ซักว่า จะได้เจอนักโทษทุกคนหรือไม่ นายชัยชนะกล่าวว่า ต้องดูระเบียบของโรงพยาบาลตำรวจ ว่าจะให้เราเข้าไปได้แค่ไหน จะให้เข้าถึงตัวตนหรือดูผ่านกล้องวงจรปิด ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเราเดินทางไปถึง ก็จะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องนี้กัน หากนายทักษิณไม่อยู่จริง โรงพยาบาลตำรวจต้องตอบสังคมด้วยว่า นายทักษิณอยู่ที่ไหน แต่ถ้าอยู่จริงเราก็จะต้องบอกสังคมว่าเห็นแล้วว่าอยู่อย่างไร

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ตช.0036.161/022 ลงวันที่ 8 ม.ค. เรื่องการศึกษาดูงาน ณ โรงพยาบาลตำรวจ  เรียนประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ อ้างถึงหนังสือคณะกรรมาธิการการตำรวจ ด่วนที่สุด ที่ สผ.0018.07/2944 ลง 26 ธ.ค.2566 เรื่อง คณะกรรมาธิการการตำรวจขอเข้าไปศึกษาดูงาน ณ โรงพยาบาลตำรวจ ใจความว่า  ตามหนังสือที่อ้างถึง คณะกรรมาธิการการตำรวจ ขออนุญาตให้คณะกรรมาธิการเข้าไปศึกษาดูงานและเยี่ยมชมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมผู้ต้องขังป่วยที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ในวันศุกร์ที่ 12 ม.ค.2567 เวลา 10.00 น. ณ โรงพยาบาลตำรวจ และขอให้นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำคณะกรรมาธิการศึกษาดูงานและเยี่ยมชมในวันดังกล่าวนั้น

โรงพยาบาลตำรวจขอเรียนว่า มีความยินดีให้คณะกรรมาธิการการตำรวจเข้าศึกษาดูงาน และเยี่ยมชมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ ณ ชั้น 6 อาคารศรียานนท์ โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สฤษดิ์ พุทธพงษ์ศิริพร ผู้กำกับการฝ่ายยุทธศาสตร์ กองบังคับการอำนวยการ โรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้ประสานงาน ในการศึกษาดูงานตามวัน เวลา ที่กำหนด

นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยนายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์, นายอานนท์ กิ่งแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศ.ป.ป.ส.) และนายนัสเซอร์ ยีหมะ แกนนํากลุ่ม คปท. ร่วมกันแถลงข่าวกรณีจัดกิจกรรมชุมนุม "ทวงคืนความยุติธรรม" ระหว่างวันที่ 12-14 มกราคม 2567

นายพิชิตเปิดเผยว่า คปท.และเครือข่ายนัดชุมนุมค้างคืนที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ในช่วงระหว่างวันที่ 12-14 ม.ค.นี้ โดยจะปักหลักชุมนุมที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นไป ส่วนสาหตุที่นัดหมายชุมนุม เพราะต้องการแสดงจุดยืนและส่งสัญญาณไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ถูกคุมขังในเรือนจำ ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยอ้างว่าทำการรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจเป็นเวลา 139 วัน ซึ่งเกินจากที่ระเบียบกรมราชทัณฑ์กำหนด

ด้านนายวัชระกล่าวว่า สนับสนุนการต่อสู้ของ คปท. ซึ่งยอมรับว่าตนเป็นผู้สนับสนุนในฐานะอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ และอาจจะเป็นจำเลยร่วมในอนาคต โดยกล่าวว่าตนเป็นต้นเรื่องที่ยื่นหนังสือคณะกรรมาธิการการตำรวจเข้าไปตรวจสอบการรักษาตัวของนายทักษิณ  ว่าได้ทำการรักษาที่ชั้น 14 จริงหรือไม่ โดยคณะกรรมาธิการฯ จะไปดูวันที่ 12 ม.ค.นี้

ขณะเดียวกัน นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานศูนย์รวมปกป้องสถาบัน กล่าวว่า จากการติดตามข่าวต่างประเทศ พบว่านายทักษิณเคยถูกตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการกล่าวพาดพิงสถาบัน ดังนั้นตนขอให้นายทักษิณต้องรับโทษในคดีมาตรา 112 ด้วย เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2563 ทางกลุ่ม ศ.ป.ป.ส.ได้แจ้งความเอาผิดมาตรา 112 กับบุคคลจำนวนมาก เหลือเพียงแค่นายทักษิณรายเดียว

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) กล่าวถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง และแกนนำ คปท. ได้หารือเกี่ยวกับกรณีการรักษาตัวของนายทักษิณ ว่าไม่แปลกใจเลยที่เห็นนายนิพิฏฐ์ออกมาร่วมกับแกนนำ คปท.เคลื่อนไหวในประเด็นนี้ เพราะนายนิพิฏฐ์เป็นขาประจำในการโจมตีนายทักษิณและพรรคเพื่อไทยมานานแล้วในทุกๆ เรื่อง โดยเปลี่ยนข้ออ้างไปเรื่อยๆ และครั้งนี้นายนิพิฏฐ์ก็อ้างว่าออกมาเรียกร้องความยุติธรรมเพื่อค้ำยันระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในอดีตการเคลื่อนไหวของ กปปส. นายนิพิฏฐ์ก็อ้างว่าสนับสนุนการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ พอเห็น กปปส.ถูกด้อยค่าในสภา นายนิพิฏฐ์ก็เดือดดาลออกมาสาปแช่งคนไปทั่ว

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า กลุ่ม คปท. นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพวกฮาร์ดคอร์ ทางการเมือง และยึดคอนเซปต์เดิมก็คือ การแสดงบทบาทไล่รัฐบาล คำพูดของนายนิพิฏฐ์ที่อวย คปท. ก็คือ คปท.กำลังทำเรื่องยิ่งใหญ่ต่อบ้านเมือง เช่นเดียวกับที่นายนิพิฏฐ์เชื่อการกระทำของ กปปส. ในอดีต ที่มุ่งล้มรัฐบาลเพื่อไทยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า การที่นายทักษิณต้องไปอยู่ต่างประเทศหลายปี ซึ่งทุกคนรับรู้เป็นอย่างดีว่าเกิดจากการรัฐประหาร ไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องคดีใดๆ เนื่องจากทุกคดีนั้นมาทีหลังเกิดการรัฐประหาร 2549 ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลกลใดก็สุดแล้วแต่ วันนี้นายทักษิณยอมกลืนเลือดกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้จะสูงอายุ อีกทั้งก่อนกลับประเทศไทยก็มีอาการป่วยอยู่ เมื่อกลับเข้าสู่กระบวนการคุมขัง แล้วมีอาการเจ็บป่วยก็ได้รับการรักษา ตามสิทธิและหลักการเดียวกับที่นานาอารยประเทศยึดถือ ส่วนฝ่ายที่ตั้งหน้าตั้งตาต่อต้านก็ถือโอกาสยกเรื่องนี้มาอ้าง ในการจุดประเด็นลงถนนเดินขบวนเท่านั้น

 “ถ้าคุณนิพิฏฐ์ออกมาท้วงติงการทำงานของรัฐบาล ควรปรับจูน ปรับแก้ที่ใด ผมจะไม่ออกมาตอบโต้เลย แต่ประเด็นนี้ไม่ปล่อยผ่านให้เกิดการหยิบยก เพื่อนำพาไปสู่การล้มล้างรัฐบาลตามที่ตั้งความหวังกันไว้ เพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน กำลังแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่มันสะสมมานาน รัฐบาลกำลังจะนำพาประเทศไทยออกจากวังวนแห่งความขัดแย้ง กำลังมุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของพี่น้องประชาชนโดยเร่งด่วน และจะไม่ปล่อยให้ นายนิพิฏฐ์และแกนนำ คปท.ออกมากวนน้ำให้ขุ่น ค้าความขัดแย้งรอบใหม่ เพราะขณะนี้บ้านเมืองบอบช้ำมามากพอแล้ว พี่น้องประชาชนลำบากมามากพอ ปล่อยให้บ้านเมืองได้เดินหน้าบ้างเถอะ” นายพร้อมพงศ์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง