พันธมิตรฯเฮศาลยกฟ้อง รอดกบฏแค่ปรับฝ่าพรก.

"พันธมิตรฯ" เฮ! ศาลอาญายกฟ้องคดีปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ไม่ผิดกบฏ-ก่อการร้าย เเต่ให้ลงโทษ 13 แกนนำ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน  ปรับคนละ 2 หมื่นบาท

เมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ศาลอาญา  ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.973/2556  ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับพวกรวม 32 คน ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นกบฏ-ก่อการร้ายฯ กลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค.2551 จำเลยได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาร่วมกันชุมนุมใหญ่ กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพี ท่าอากาศยานดอนเมือง  ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหายที่ 1   ซึ่งเป็นของบริษัท ท่าอากาศยานไทย  จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ผู้เสียหายที่ 2 และทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นเงิน 627,080 บาท แล้วนำจานรับสัญญาณของพวกจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรดาร์ของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ผู้เสียหายที่ 3  และปิดกั้นสะพานกลับรถของกรมทางหลวง ผู้เสียหายที่ 4 ตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทยฯ ผู้เสียหายที่ 5 ปิดกั้นการบริการสื่อสารบริษัท    ไปรษณีย์ไทยฯ ผู้เสียหายที่ 6 และร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน รวมทั้งจำเลยกับพวก ได้ชุมนุมปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการด้วย เพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นลาออก

คดีนี้พวกจำเลยให้การปฏิเสธ โดยศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.66 แต่จำเลย 4 คนมีอาการป่วย และนายประพันธุ์ คูณมี ติดภารกิจเข้ารับเครื่องราชอิสริยาภรณ์    ศาลจึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษา

โดยในวันนี้ จำเลยเดินทางมาศาล ยกเว้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เเละนายเทิดภูมิ ใจดี อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดยจะมีการเชื่อมสัญญาณอ่านคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ 

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-5 จำเลย 7-13 และจำเลยที่ 31 ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง,   นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย,  นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายศิริชัย ไม้งาม, นายสำราญ รอดเพชร, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า, นายสาวิทย์ แก้วหวาน, นายสันธนะ ประยูรรัตน์, นายชนะ ผาสุกสกุล, นายรัชต์ชยุตม์ หรืออมรเทพ หรืออมร ศิริโยธินภักดี หรืออมรรัตนานนท์ และบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด   กระทำความผิดฐานบุกรุกและฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดคือความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน    2548 พิพากษาให้ลงโทษปรับคนละ 20,000 บาท ส่วนข้อหาอื่นพยานและหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิด ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่เหลือ ศาลได้ยกฟ้องทั้งหมด 

ขณะที่ นายประพันธุ์ คูณมี ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังคำพิพากษาว่า   น้อมรับในคำพิพากษาของศาล และยืนยันว่าการชุมนุมในครั้งนั้นเป็นการชุมนุมโดยสันติ สงบ ปราศจากอาวุธ และยังบอกว่า คดีนี้อัยการยื่นฟ้องหลายข้อหา เช่น ข้อหาบุกรุกฯ ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาก่อการร้ายชุมนุมโดยก่อการวุ่นวาย ข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงาน ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นต้น ประเด็นที่ศาลวินิจฉัยคือการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลเห็นว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ สืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค.2551 โดยมีจุดมุ่งหมายคือการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะทำให้การกระทำผิดเรื่องคอร์รัปชันของนักการเมืองหายไป 

ซึ่งการชุมนุมในครั้งนั้น แม้จะเป็นพื้นที่สนามบินดอนเมือง แต่เป็นการชุมนุมในพื้นที่สาธารณะภายนอก ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน โดยเป็นพื้นที่เป็นที่ตั้งร้านค้า ประชาชนสามารถเข้าใช้ได้เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งการชุมนุมไม่มีการทำร้ายผู้โดยสาร รวมถึงพนักงานสายการบิน รวมทั้งการชุมนุมดังกล่าวไม่มีการพกอาวุธก่อจลาจลวุ่นวาย ถึงแม้จะเกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติของการชุมนุม ศาลจึงมองว่าการชุมนุมโดยรวมทั้งหมด เป็นไปด้วยความสงบปราศจากอาวุธ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นความผิดในฐานก่อการร้าย รวมถึงข้อหาอื่นๆ   ซึ่งข้อหาก่อการร้ายที่ยกฟ้องนั้น เนื่องจากการชุมนุมนั้นไม่มีการใช้อาวุธทำลายระบบคมนาคมขนส่งหรืออากาศยาน จึงถือว่าไม่เข้าข่ายความผิด

ในส่วนข้อหาบุกรุก ซึ่งสถานที่ดังกล่าวมีการใช้เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวของรัฐบาลขณะนั้น ซึ่งช่วงที่พันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนเข้าไป ได้มีเข้าไปในห้องประชุมที่ใช้ในการประชุมจริง ศาลจึงมองว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ จึงเข้าข่ายความผิดฐานบุกรุก เเละขณะนั้นเป็นช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จึงมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย เเต่เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ผิดกฎหมายหลายบท ศาลจึงลงโทษฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็น้อมรับพอใจผลคำพิพากษา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง