ทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุ

"ในหลวง" ทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย พระราชทานไฟ ณ 4 มณฑป ถวายเป็นพุทธบูชา พสกนิกรเนืองแน่นเฝ้าฯ รับเสด็จ พร้อมใจสวมเสื้อสีเหลือง เปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องด้วยความจงรักภักดี

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.05 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้าตามลำดับ ที่อัญเชิญจากอินเดียมาประดิษฐานในไทยให้ประชาชนได้สักการะ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร

 โดยที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง นายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และคณะกรรมการจัดงาน รวมถึงประชาชนต่างรอเฝ้าฯ รับเสด็จอยู่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ถึงมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ได้ทรงพระดำเนินเข้าไปยังมณฑปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  และพระอรหันตธาตุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางพุ่มดอกไม้ ทรงวางพวงมาลัยสักการะพระบรมสารีริกธาตุ  และพระอรหันตธาตุ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ทรงกราบ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงวางพุ่มดอกไม้  ทรงวางพวงมาลัยสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ทรงกราบ เสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงกราบ ประทับพระราชอาสน์ทรงศีล ประธานสงฆ์ถวายศีล

จากนั้น นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสูจิบัตรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าเฝ้าฯ  ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตรแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน เจ้าพนักงานพระราชพิธี เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเทียนชนวน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดไฟจากโคมไฟฟ้า  แล้วพระราชทานแก่เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปตั้งที่มณฑปประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ และพระราชทานไปตั้งที่มณฑป ณ หอคำหลวง อุทยานราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ ณ วัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานี และ ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่  เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในโอกาสต่อไปตามลำดับ

จากนั้นทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรรมถวายพระสงฆ์  ประทับพระราชอาสน์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการ ทรงลาพระสงฆ์ เสด็จออกจากพลับพลาพิธีไปยังรถยนต์พระที่นั่ง  ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

ในการเสด็จฯ ไปทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุครั้งนี้ มีพสกนิกรจำนวนมากมารอเฝ้าฯ รับเสด็จทั้งสองพระองค์ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ภายในบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยต่างพร้อมใจสวมเสื้อสีเหลือง และเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” อย่างดังกึกก้องด้วยความจงรักภักดี

ท้้งนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงครัวพระราชทานที่ปรุงสุกใหม่ ถูกสุขอนามัย พระราชทานเลี้ยงแก่ราษฎรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ รวมทั้งสิ้น 14 โต๊ะ อาทิ สาคูไส้หมู ข้าวหมกไก่ ข้าวเหนียวไก่ทอด ไก่ย่างกะทิข้าวเหนียว ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ผัดหมี่ซั่วไก่ เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วไก่ ผัดหมี่โบราณ ข้าวไข่เจียวน้ำพริกตาแดง ก๋วยเตี๋ยวไก่ ข้าวหมูทอดกระเทียม/ไก่ทอดกระเทียม ข้าวขาหมู โจ๊กหมู ขนมครก สาคูข้าวเกรียบปากหม้อ ข้าวเหนียวต่างๆ ขนมไทย สาคูไส้หมู  ปาท่องโก๋นมข้นหวาน โรตี ขนมปังเบเกอรี่ น้ำบ๊วยโซดา  กาแฟเย็น ชาเย็น น้ำส้มคั้น ไอศกรีมกะทิ น้ำดื่ม ประชาชนต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพุทธมามกะ  ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงทำนุบำรุงศาสนาทั้งปวง โดยทรงเกื้อกูล ค้ำจุนพระพุทธศาสนาภายใต้พระบรมโพธิสมภาร และเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการอุปถัมภ์กิจการของศาสนา ด้วยพระราชหฤทัยอันเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความสำคัญของศาสนา ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านศาสนานานัปการ ด้วยทรงเลื่อมใสและมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา กับมีพระราชปณิธานที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองและธำรงไว้อย่างมั่นคงถาวรสืบไป

เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ  28 กรกฎาคม 2567 รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับรัฐบาลอินเดีย กระทรวงวัฒนธรรมอินเดีย สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้ดำเนินโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ  จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

โดยการดำเนินการในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากโครงการ "ธรรมยาตรา พระบรมสารีริกธาตุจากมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขง" ของอินเดีย โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์กรุงนิวเดลี ซึ่งถูกขุดพบจากสถูปโบราณ เมืองปิปราห์วา ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของกรุงกบิลพัสดุ์ในสมัยพุทธกาล มีหลักฐานเป็นจารึกอักษรพราหมีบนผอบ แปลว่า “ที่บรรจุพระสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้านี้ เป็นของสากยราชสุกิติ กับพระภาตา พร้อมทั้งพระภิคินี พระโอรสและพระชายา สร้างขึ้นอุทิศถวาย” ส่วนพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ อัญเชิญมาจากสถูปเมืองสาญจี บรรจุในผอบซึ่งมีจารึกอักษรพราหมีว่า “สาริปุตส” แปลว่า (พระธาตุ) ของพระสารีบุตร  และ “มหาโมคลานส” แปลว่า (พระธาตุ) ของพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวกทั้งสอง

นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุมาประดิษฐานให้ศาสนิกชนได้สักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างสูงสุดในชีวิต ในระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ถึง 19 มีนาคม 2567 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร, จังหวัดเชียงใหม่, อุบลราชธานี และกระบี่

ในโอกาสมหามงคลนี้ เปิดให้ประชาชนเข้าสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม 2567  เวลา 09.00-20.00 น. จากนั้นอัญเชิญไปประดิษฐานในส่วนภูมิภาคใน 3 จังหวัด ให้ประชาชนได้เข้าสักการบูชา  ได้แก่ ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2567 เวลา  09.00-20.00 น. ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์  จังหวัดเชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่  10-13 มีนาคม 2567 เวลา 09.00-20.00 น. ณ วัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานี และภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2567 เวลา 09.00-20.00 น. ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง