“บิ๊กตู่” เอ่ยปากยืนยันไม่โกรธสื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายา “ชำรุดยุทธ์โทรม” ลั่นต้องทำให้ประเทศชาติสงบสุขให้เลิกการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้ได้ “บิ๊กป้อม” จะอยู่เคียงข้าง “บิ๊กตู่” ถึงปี 70หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์-สภาพร่างกาย "อิสระ" ปัดไม่ใช่ความเห็น "ชวน" แค่ความเห็นส่วนตัวของฝ่ายกฎหมายสภา "เพื่อไทย" ชี้ให้ดูเจตนารมณ์กฎหมายวาระนายกฯ 8 ปี ส.ค.65 ชงศาล รธน.วินิจฉัยแน่ เลขาฯ ครป.ซัดปั่นข่าวร้ายรับปีใหม่ เตือนแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ พท.เคาะ “สุรชาติ” ลงเลือกตั้งซ่อมเขต 9 กทม. เปรียบเป็นศึกศักดิ์ศรีของฝ่าย ปชต.กับเผด็จการ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) วันที่ 29 ธันวาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ถึงกรณีสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาประจำปี 2564 “ชำรุดยุทธ์โทรม” ว่า “ฝากไปถึงสื่อทุกคนด้วยว่าผมไม่เคยโกรธ ไม่เคยโมโหสื่อ เพียงแต่ผมจะพูดหรือไม่พูดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าควรจะพูดเองหรือไม่ บางเรื่องควรจะเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีพูดหรือไม่ เพราะคิดว่าคงต้องจัดระเบียบใหม่ละ เพราะถ้านายกรัฐมนตรีตอบทุกวันปัญหาก็จะเข้ามาทุกวัน บางเรื่องโฆษกฯ ก็ชี้แจงไปแล้วโดยผมได้สั่งการไปให้พูดเรื่องอะไรอย่างไร ผมเป็นคนสั่งไปเองให้โฆษกฯ หรือรัฐมนตรีประชาสัมพันธ์”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราต้องทำให้ประเทศชาติของเราสงบสุขให้ได้ ต้องทำให้เลิกการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้ได้ โดยถ้าเราต้องการความปลอดภัยเราก็ต้องช่วยกัน ดูแลซึ่งกันและกัน กฎหมายทุกตัวมีอยู่แล้ว ก็ขอให้ปฏิบัติตามเท่านั้นเอง ตนไม่จำเป็นต้องไปสั่งการอะไรเพิ่มเติม
ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ถามกลับว่ามีอะไรจะถามอีกหรือไม่ พร้อมกล่าวว่า "ถามกันมาตอบกันมาตลอดแล้ว ขอขอบคุณในฉายาก็แล้วกัน สวัสดีครับ" จากนั้นได้เดินออกจากโพเดียมและเดินทางกลับทำเนียบรัฐบาลเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อทันที
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎร มีการตีความว่าวาระในการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด นับตั้งแต่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.2562 ที่เป็นวันโปรดเกล้าฯ และสิ้นสุดในปี 2570 นั้น พร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ยาวจนถึงปี 2570 หรือไม่ว่า “ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั่วไป ก็แล้วแต่ว่าร่างกายผมจะไหวหรือเปล่า”
เมื่อถามว่า ในช่วงปีใหม่มีความกังวลอะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ปีใหม่เราไม่กังวล”
นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตเลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีฝ่ายกฎหมายสภาเสนอความเห็นไปยังประธานสภาฯ ถึงประเด็นการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ควรเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันที่มีการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งคือ 9 มิ.ย.2562 ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนที่เเล้ว กรณีถ้ามีข่าวที่เป็นที่สนใจของสังคม จะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของสภาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ทำการสรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และสรุปรายละเอียดของประเด็นนั้นๆ พร้อมทั้งความเห็นทางกฎหมายส่วนบุคคลของตน แนบท้ายกราบเรียนประธานสภาฯ ให้รับทราบ ขอเน้นย้ำว่ากรณีนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่สภาฯ เจ้าหน้าที่นิติกรเจ้าของเรื่อง ไม่ใช่ความเห็นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ
"ที่สำคัญ อำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยประเด็นนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของสภา แต่เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 ที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัย เกรงว่าจะเกิดการเข้าใจผิดคิดว่านายชวนเพิ่งพิจารณากรณีดังกล่าวในช่วงนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะขณะนี้นายชวนกำลังลงพื้นที่พบประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 ในหลายจังหวัด คือ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี" นายอิสระกล่าว
ส.ค.65 ชงศาลวินิจฉัย
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีฝ่ายกฎหมายสภาตีความกรณีการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ทุกคนสนใจว่า จะเป็นจุดเปลี่ยนของรัฐบาลหรือไม่ พรรคร่วมฝ่ายค้านยืนยันในความมุ่งมั่นที่จะใช้เงื่อนไขและคุณสมบัติข้อนี้ว่า คนที่มาดำรงตำแหน่งนายกฯ จะดำรงตำแหน่งเกินกว่า 8 ปีไม่ได้ การตีความตัวบทกฎหมายนี้มีความตรงไปตรงมา เมื่อถึงกำหนดเวลา หากนายกฯ ยังดำรงตำแหน่งนายกฯ อยู่ เราจะทำการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติข้อนี้ให้เป็นที่ยุติ ส่วนประเด็นที่เป็นความเห็นของฝ่ายกฎหมายสภานั้น ขอไม่แสดงความเห็น เพราะเขาคงทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ถือว่าเป็นความเห็นภายในสภา และประธานสภาฯ ว่าจะนำไปใช้หรือไม่อย่างไร แต่มันไม่มีผลผูกพันกับองค์กรอื่น
เมื่อถามว่าหากมีการยื่นตีความจะยื่นผ่านประธานสภาฯ หรือช่องทางใดนั้น นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องวิธีการที่จะยื่นไม่น่าจะเป็นประเด็น เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 ใน 10 สามารถเข้าชื่อกันเพื่อยื่นตรวจสอบคุณสมบัติของนายกฯ รัฐมนตรี และ ส.ส.ได้ แล้วประธานสภาฯ หน้าที่ส่งเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และ ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่เข้าใจเจตนาของฝ่ายกฎหมายรัฐสภา ที่จู่ๆ ก็เสนอความเห็นเรื่องนี้มาอย่างไม่มีเหตุผล ฝ่ายกฎหมายรัฐสภาออกมาพูดจะว่าเป็นหน้าที่ก็ไม่น่าใช่ โดยกาลเทศะก็ไม่ถูก แต่ถึงจะมีความเห็นหรือชี้อย่างไร ก็ไม่มีเหตุผล ที่บอกให้นับวาระการดำรงตำแหน่งนับแต่วันโปรดเกล้าฯ นั้น ได้มองเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือไม่ หรือมองเพียงตัวหนังสือ ตามเจตนารมณ์กฎหมายหวังจะให้นายกฯอยู่ในวาระได้ 8 ปี จะนับตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ต้องวิตก หากถึงช่วงสิงหาคม 2565 ค่อยมาว่ากัน ถ้าครบวาระ 8 ปี ถ้ายังเห็นต่างกัน คงต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด แต่มากกว่าการดำรงตำแหน่งคือ สำนึกของคนใช้กฎหมายนี้ คือตัวนายกรัฐมนตรี ที่อยู่มา 8 ปี ได้สำนึกหรือไม่
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยมองว่าควรนับวาระของ พล.อ.ประยุทธ์ นับแต่ยึดอำนาจเมื่อปี 2557 นายสุทินกล่าวว่า เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ทั้งนี้เราก็หวังจะหาข้อยุติให้เป็นบรรทัดฐาน น่าจะไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าไม่ให้เป็นประเด็น นายกฯ ควรมีสำนึก ควรแสดงสปิริตเพื่อดับชนวนเรื่องนี้
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่เลอะเทอะและเละเทะ ตีความมั่วกันน่าดู และฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงความเห็นหนึ่งเท่านั้นที่เสนอความเป็นต่อประธานสภาฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว แต่เพิ่งออกมาปล่อยข่าว เพื่อปั่นข่าวรับปีใหม่ ถือว่าเป็นข่าวร้ายรับปีใหม่ของประชาชนคนไทย ฝ่ายกฎหมายสภามีใครบ้างที่ให้ความเห็นแบบนี้ ช่วยระบุชื่อรับผิดชอบด้วย ทำให้สภาเสียหาย กลายเป็นสภารับใช้เผด็จการ ถ้าเป็นอย่างนี้เท่ากับสุมไฟทางการเมือง ถ้าประยุทธ์เป็นนายกฯ เกิน 8 ปีในเดือนสิงหาคมปีหน้านี้ เชื่อว่าบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ นายกฯ จะต้องมีความรับผิดชอบทางการเมือง ถ้าตีความแบบนี้เพื่อเข้าข้างผู้มีอำนาจ ประเทศก็พังหมด เชื่อว่าแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ
รัฐประหารครั้งใหม่
เลขาธิการ ครป.กล่าวอีกว่า กับดักรัฐธรรมนูญมาตรา 158 ที่เขียนขึ้นมาเอง "นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่" ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยครั้งแรกเมื่อใด เป็นเมื่อ 24 สิงหาคม 2557 ถ้าจะให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ ถึงปี 2570 ก็เท่ากับดำรงตำแหน่งนายกฯ 13 ปี ขัดมาตรา 158 ชัดเจน ตนไม่อยากให้สภาผู้แทนราษฎรกลายเป็นเครื่องมือระบอบอำนาจนิยม และสร้างทางตันในการพัฒนาประชาธิปไตย โดยการส่งเสริมการรัฐประหารครั้งใหม่
ส่วนความเคลื่อนไหวการเลือกตั้งซ่อม นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวหลักสี่และพื้นที่เกี่ยวข้อง จำนวน 16,255 คน ที่ได้เลือกพรรคเราเมื่อปี 2562 แม้พรรคจะไม่ได้คะแนนมากที่สุด แต่ทุกเสียงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้เกิดคำถามต่อกรณีท่าทีของผู้เกี่ยวข้องในทำนองว่าพรรคจะไม่ส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมเขต 9 กทม.หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง พรรคจะชี้แจงกับประชาชน 16,255 คนนี้ว่าอย่างไร? อย่าลืมว่า 16,255 เสียงนี้ที่ยึดมั่นกับพรรค ปชป. ฉะนั้นข้ออ้างเรื่องมารยาททางการเมือง จึงไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอ หรือจริงๆ แล้วมีเบื้องหลัง มีผลทางการเมืองอะไรแอบแฝง การส่งหรือไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่และพื้นที่เกี่ยวข้องจึงมีผลสำคัญต่ออนาคตปชป.ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด
วันเดียวกัน นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 9 หลักสี่-จตุจักร กทม. ลงพื้นที่ตลาดประชานิเวศน์ 1 พบปะกับประชาชนและพ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่ ก่อนจะเดินทางไปยังศูนย์บริการสาธารณสุขที่ 17 เพื่อพบปะประชาชนที่ไปออกกำลังกายบริเวณดังกล่าว
โดยนายอรรถวิชช์กล่าวว่า รู้สึกปลาบปลื้มที่ประชาชนให้การต้อนรับ เหมือนได้กลับบ้าน เพราะคุ้นเคยผูกพันกับตลาดประชานิเวศน์ 1 ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ พรรคกล้าพร้อมเป็นความหวังให้ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจที่มีความตั้งใจเป็น ส.ส.สร้างสรรค์การเมืองคุณภาพดูแลแก้ปัญหาในพื้นที่ ส่วนการเปิดตัวคู่แข่งคนล่าสุดจากพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น ขอฝากถึงผู้สมัครทุกคนให้สู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้อย่างสุจริต ตนยังรู้สึกมั่นใจในเขตเลือกตั้งนี้ และทีมงานใจสู้ทุกคน
ที่พรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงเปิดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 โดย นพ.ชลน่านกล่าวว่า กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) มีมติเอกฉันท์ให้ส่งนายสุรชาติ เทียนทอง อดีต ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างลง ในเขตเลือกตั้งที่ 9 หลักสี่-จตุจักร และยังเห็นชอบแต่งตั้งนายสรวงศ์ เทียนทอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทยเป็น ผอ.เลือกตั้ง
เลือกตั้งซ่อมศึกศักดิ์ศรี
นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรามุ่งหวัง มั่นใจว่าประชาชนเขตหลักสี่-จตุจักรจะให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เรามีโอกาสที่จะได้รับการยอมรับและเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งของเราเป็นอดีต ส.ส.ในเขตเลือกตั้งนี้มานาน จากการทำงานตลอด 17 ปี นายสุรชาติไม่เคยทิ้งพื้นที่ แต่แก้ปัญหาให้ประชาชนเสมอ การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของผู้ที่โหยหาประชาธิปไตย กับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย แต่แฝงเร้นไปด้วยอำนาจเผด็จการ ถ้าประชาชนต้องการประชาธิปไตย นายสุรชาติเป็นนักประชาธิปไตยที่พร้อมเป็นตัวแทนประชาชน และเป็นการเลือกตั้งเพื่อศักดิ์ศรีของคนที่รักประชาธิปไตย จะเป็นก้าวแรกของการได้รัฐบาลใหม่
นายสุรชาติกล่าวว่า ขอบคุณกรรมการสรรหาและกรรมการบริหารพรรค ที่ให้โอกาสเป็นผู้สมัครในการเลือกตั้งครั้งนี้ ความหมายโดยเฉพาะพรรคการเมือง ที่จะเป็นการวัดกระแสความนิยมของพรรคต่างๆ ก่อนมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และแนวโน้มที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในอีกไม่นานนี้ และมีความสำคัญต่อชาวหลักสี่-จตุจักร นี่คือศักดิ์ศรีที่จะตัดสินใจว่าพี่น้องประชาชนอยากได้ผู้แทนฯ ของเขาแบบไหน เป็นก้าวที่จะพิสูจน์อุดมการณ์ ความเชื่อ ความตั้งใจ ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ตนต้องการทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น ไม่ได้แข่งกับใคร แต่ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อในทุกๆ วันอยู่แล้ว โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
นายสรวงศ์ เทียนทอง ผอ.เลือกตั้งฯ กล่าวว่า จะมีการปราศรัยใหญ่หนึ่งครั้ง ส่วนการลงพื้นที่ นายสุรชาติลงพื้นที่ทุกวันอยู่แล้ว
ขณะที่ น.ส.ธีรรัตน์กล่าวว่า นายสุรชาติถือเป็นตัวแทนพรรคในการกอบกู้ศักดิ์ศรีชาวหลักสี่-จตุจักร เพราะผลการเลือกตั้งปี 62 ยังเป็นข้อกังขาเรื่องความไม่โปร่งใส ครั้งนี้เราขอให้การเลือกตั้งมีความโปร่งใส เป็นธรรม ยุติธรรมกับทุกฝ่าย และถ้าจะชนะต้องชนะให้ขาด
นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยภายหลังที่พรรคไทยสร้างไทยจัดคาราวานสร้างไทย 77 จังหวัด ลงพื้นที่รับฟังปัญหา รับฟังทุกความต้องการของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เบื้องต้นคาราวานสร้างไทยได้เดินทางไปในพื้นที่ภาคอีสานบางส่วน และพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างอบอุ่นในทุกพื้นที่ที่เดินทางไป จะเห็นได้จากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนของ "อีสานโพล" เปิดเผยผลสำรวจความนิยมนักการเมืองคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย เป็นอันดับ 1 มากถึง ร้อยละ 24.8 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อตัวคุณหญิงสุดารัตน์ และพรรคไทยสร้างไทย
ทั้งนี้ ผศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการสำรวจอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ขอนแก่น เปิดเผยว่า จากการสำรวจเรื่องรางวัลแห่งปีของคนอีสานประจำปี 2564 ซึ่งคณะเศรษฐศาสตร์ มข. ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานเกี่ยวกับบุคคล องค์กร และผลงานที่มีความโดดเด่นที่สุดแห่งปี ในสาขาต่างๆ 13 รางวัล โดยทำการสำรวจ 2 รอบ คือในครึ่งปีแรกระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-7 ส.ค. และในช่วงครึ่งปีหลังคือระหว่างวันที่ 25-27 ธ.ค.2564 จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป 2,151 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 20 จังหวัดภาคอีสาน พบว่า คะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก แต่ละรางวัล ประกอบด้วย นักการเมืองแหงปี ลำดับที่ 1 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 24.8 รองลงมาคือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 15.4 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 13.8.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุก6ด.น้องธนาธร ติดสินบน20ล้าน เช่าที่ดินทรัพย์สิน
ศาลอาญาคดีทุจริตสั่งจำคุก "สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ" น้องชาย "ธนาธร" 6 เดือนไม่รอลงอาญา คดีติดสินบน 20 ล้าน
ทนายกังขายื้อให้CCTV ตู่ซัดแม้วพ่อค้าลวงโลก
กรมคุกฟอกตัวจ้าละหวั่น ลากสื่อเข้าสำรวจสถานที่ขัง "บุ้ง ทะลุวัง" ก่อนจบชีวิต ขณะที่ "ทนายด่าง” รับหลักฐานรายงานการรักษา
‘พิชิต’ไม่ลาออกตัดไฟลามนายกฯ
"เศรษฐา" ไม่เสียสมาธิ หลังฝ่ายธุรการศาล รธน.รับเรื่อง 40 สว.ยื่นตรวจสอบตั้ง "พิชิต" นั่ง รมต.
ฟอกข้าวขาวจั๊วะ กรมวิทย์การันตี ไร้สารพิษ7ชนิด
เหลือเชื่อ! ข้าว 10 ปีกินได้จริงๆ ไม่ต้องกลัวเป็นมะเร็ง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เผยผลตรวจ ขอให้มั่นใจไม่พบสารพิษจากเชื้อรา 7 ชนิด
เริ่มฮั้วยึดเก้าอี้สว. กกต.จับตาพวกไร้คะแนน-ท็อปไฟว์/‘ทักษิณ’ส่ง‘สมชาย’ดันนั่งปธ.
ประเดิมสมัคร สว.วันแรก มีทั้งพื้นที่คึกคักและกร่อย สะพัด! กทม.เริ่มมีเรื่องฮั้ว รวมกลุ่ม “กกต.” จับตาพวกไร้คะแนนและบรรดาท็อปไฟว์
ขาสั่น 'เศรษฐา' รับกังวล ปมถูกยื่นถอดถอน
สาธารณรัฐอิตาลี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี 40 วุฒิสมาชิก ยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า ตนคงไม่ไปก้าวล่วงกับศาลรัฐธรรมนูญว่าจะเป็น 50 ต่อ 50 หรือ 40 ต่อ 60 และเมื่อ