ปรับใหญ่‘ลูกเนวิน’ผงาด

เปลี่ยนครั้งใหญ่! ภูมิใจไทยเลือก กก.บห.ชุดใหม่ อนุทินนั่งหัวหน้าพรรคตามเดิม “ไชยชนก” ผงาดขึ้น เลขาธิการ เจนใหม่บ้านใหญ่พาเหรดนั่งเก้าอี้ “ลูกเนวิน” ไม่ปฏิเสธตำแหน่งเลขาฯ  ถูกล็อก แต่ขอพิสูจน์ตัวเอง ยันทำงานเป็นทีมผนึกรุ่นเก่า-รุ่นใหม่

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2567  ณ สโมสรราชพฤกษ์ พรรคภูมิใจไทย  (ภท.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี  2567 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค  ภท. เป็นประธาน โดยวาระสำคัญคือ การรับรองรายงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 พิจารณางบการเงินของพรรคปี 2566 พิจารณาข้อบังคับพรรคภูมิใจไทย พ.ศ.2561 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2567 การเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) แทนตำแหน่งที่ว่าง และการเลือกตั้งกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง

โดยก่อนเริ่มประชุมทีมงานสื่อสารพรรคได้จัดทำวีดิทัศน์เสนอผลงานที่นายอนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรค  สามารถกวาดชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2566 ได้ สส.เข้ามา 71 ที่นั่ง มากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งพรรคในรอบ 15 ปี ซึ่งจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 16 ในวันที่ 6 เม.ย.นี้ นอกจากนี้ยังเสนอผลงานในรอบ 6 เดือนของรัฐมนตรีในสังกัดพรรค

จากนั้นนายอนุทินได้นำ กก.บห.ชุดใหม่ 16 คน ประกอบด้วย นายอนุทินเป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค 3 คน ได้แก่ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล สส. พระนครศรีอยุธยา, นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง และนายสิริพงศ์​ อังคสกุลเกียรติ สส.ศรีสะเกษ เลขาธิการพรรค ได้แก่ นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ รองเลขาธิการพรรค 3 คน ประกอบด้วย นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์​  สส.อุทัยธานี, นายภัทรพงศ์​ ภัทรประสิทธิ์  สส.พิจิตร และ น.ส.พิมพฤดา ตันจรารักษ์​ สส.พระนครศรีอยุธยา

น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี เป็นเหรัญญิกพรรค น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เป็นนายทะเบียนพรรค ส่วน กก.บห.พรรค 6 รายประกอบด้วย นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล  สส.อ่างทอง, นายวรศิษฎ์​ เลียงประสิทธิ์  สส.สตูล, นายชลัฐ รัชกิจประการ สส.บัญชีรายชื่อ, นายธนยศ ทิมสุวรรณ สส.เลย, นายจักรกฤษณ์ ทองศรี สส.บุรีรัมย์ และนายกิตติ กิตติธรกุล สส.กระบี่ นอกจากนี้ นายอนุทินยังแต่งตั้งทีมโฆษกพรรค 3 คน โดยเป็นโฆษกพรรค 2 คน ได้แก่ น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี และนายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ สส.สงขลา ส่วน น.ส.ผกามาศ เจริญพันธ์ สส.สุรินทร์ เป็นรองโฆษกพรรค

นายอนุทินระบุว่า วันนี้พรรคมีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 16 ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมา และพรรคได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง เรามีบทบาทในการเมืองไม่ว่าจะบทบาทการบริหารในรอบ 16 ปีที่ผ่านมา การเลือกตั้งทุกครั้งพรรคได้ สส.มาทำหน้าที่มากขึ้น ซึ่ง 15 ปีที่ผ่านมาพรรคได้พิสูจน์แล้วว่าพรรคเราเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีภารกิจที่เทิดทูนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อดำรงไว้ซึ่งระบบการปกครองตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ ส่วนนี้ถือเป็นดีเอ็นเอของพรรค เป็นนโยบายหลัก  เป็นภารกิจหลักของสมาชิกพรรคทุกคน

“เราเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในคำพูด เมื่อพูดแล้วต้องทำ เรากล้าที่จะประกาศนโยบายต่อประชาชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ดูแล้วมีความยากลำบากในการทำให้สำเร็จ แต่เราก็ทำให้ได้ เรายังไม่มีสิ่งใดที่เราให้สัญญากับประชาชนแล้วเราไม่ได้ทำ เราเป็นพรรคการเมืองของประชาชน เราพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้สามารถทำงานรับใช้ความต้องการของประชาชนทุกกลุ่มได้ แล้วเราต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน ซึ่งเป็นโลกยุคใหม่ที่มีความเจริญเติบโตและมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ด้วยระบบทุนที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งเราต้องทำให้ประเทศไทยของเราอยู่ในระบบนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นความเข้มแข็งทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม และปากท้องของประชาชน”

ต่อมานายอนุทินยังได้แถลงข่าวร่วมกับ กก.บห.ชุดใหม่ 16 คน โดยระบุว่า  กก.บห.ทุกคนที่ได้รับเลือกเข้ามาทำงานทุกคนมีแบ็กดี ไม่มีใครมาจากกระบอกไม้ไผ่ อย่างน้อยก็มีหัวหน้าพรรคที่จะเป็นแบ็กให้พร้อมกับสโลแกน เจนใหม่ บ้านใหญ่ พร้อมจะพัฒนา และการเปลี่ยน กก.บห.ชุดใหม่เป็นคนรุ่นใหม่ไม่ถือเป็นการถ่ายเลือดใหม่ แต่เป็นการผลัดวิตามิน

ด้านนายไชยชนกกล่าวถึงการรับบทแม่บ้านของพรรคมีการเตรียมแผนรับมืออย่างไรว่า หากเปรียบเทียบเลขาธิการพรรคว่าเป็นแม่บ้าน ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม  หากถามว่ายากหรือไม่กับบทบาทนี้ พรรคไม่ได้มีแม่บ้านแค่คนเดียว หากมองจากข้างหลังจะเห็นว่ามีหลายคน ทุกคนช่วยกันมาตลอด หากจะเปรียบเสมือนพรรค ภท.เป็นบ้าน และมีสมาชิกบ้านอื่นอีก ถึงบ้านจะรก หากทุกคนช่วยกันเก็บและปรับปรุง งานแม่บ้านพรรคก็ไม่หนัก

เมื่อถามว่า ถูกมองว่าเก้าอี้เลขาธิการพรรคถูกล็อกไว้ให้กับตระกูลชิดชอบ แต่ประสบการณ์การเมืองยังมีไม่มาก นายเนวิน ชิดชอบ ผู้เป็นพ่อได้ให้คำแนะนำหรือเตรียมแนวทางอย่างไรไว้บ้าง นายไชยชนกกล่าวว่า ไม่ปฏิเสธเก้าอี้นี้ถูกล็อก ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งเลขาธิการพรรค และไม่ใช่มองว่าเป็นลูกของนายเนวิน และหลานของนายชัยและนายศักดิ์สยาม จึงมีโอกาสและมีความคาดหวังตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งให้คนในตระกูลเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในภูมิใจไทย มองว่าการที่ตนมาจากบ้านใหญ่ชิดชอบ ทำให้มีประสบการณ์ อย่างที่ส่งเสริมให้เรียนรู้ให้ และพัฒนา ปรับตัวได้เร็วในตำแหน่งนี้ให้มากขึ้น ไม่ผิดที่คนจะมองแบบนั้น แต่อยู่ที่ว่าเป็นความคิดบวกหรือลบ และในความเป็นทายาทของตระกูลชิดชอบ มีมุมบวกค่อนข้างเยอะ แต่หลังจากนี้ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง และเป็นหน้าที่ของประชาชนและสมาชิกพรรคที่จะตัดสินจากผลงานที่ไม่ใช่แค่การทำงานในบทบาทเลขาธิการพรรค แต่หมายถึงสมาชิกพรรคทุกคนที่จะทำในอนาคต

เมื่อถามว่า จะมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจหลายอย่างในพรรค ภท.หรือไม่นั้น นายไชยชนกหัวเราะก่อนที่นายอนุทินจะช่วยตอบว่า เลขาธิการพรรคคนใหม่เพิ่งรับตำแหน่งหมาดๆ หากไปถามว่าจะตัดสินใจโดยที่หัวหน้าพรรคนั่งอยู่ข้างๆ   เจ้าตัวอาจเขิน แต่ในเมื่อหัวหน้าพรรคบอกว่าเลขาธิการพรรคสามารถตัดสินใจแทน กก.บห.อีกหลายคนได้

นายไชยชนกกล่าวเสริมต่อว่า หลายคนอาจไม่เห็นการทำงานภายในของพรรค ภท.จึงตั้งคำถามนี้ เพราะสิ่งที่ทำมาก่อนหน้าและที่จะทำในอนาคต แม้มี กก.บห.ชุดใหม่เป็นคนรุ่นใหม่ แต่ทุกการตัดสินใจที่จะเกิดขึ้นในวันนี้และอนาคต ล้วนมาจากการตัดสินใจและการหารือของผู้หลักผู้ใหญ่และสมาชิกในพรรคทุกคน ไม่ได้เป็นความคิดของตนเอง เพราะทำงานเป็นทีม ทุกคนไม่มีใครเป็นน้ำเต็มแก้ว และไม่มีใครไม่เห็นคุณค่าและประสบการณ์ทางการเมืองของเจนใหม่ ของคนรุ่นเก่า และความหมายของพรรค หากพูดถึงคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า ไม่ได้หมายถึงอายุ แต่คือกระบวนการและวิธีคิด รวมถึงการทำงานที่จะปรับเปลี่ยนเตรียมตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

นายอนุทินยังกล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งต่อไป กก.บห.ชุดใหม่จะมีโอกาสได้เข้าไปทำงานหรือไม่ โดยเฉพาะนายไชยชนก ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้เมื่อเวลามาถึง เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาวิตกกังวล

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีมีผู้ร้องเรียนต่อ กกต. พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค  ภท. จากกรณีรับเงินบริจาค หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น เช่นเดียวกับพรรคก้าวไกล ว่า 2 พรรคการเมืองนั้นถูกร้องเรียนกันคนละประเด็น และใช้คนละมาตรา โดยพรรคก้าวไกลถูกร้องเรียนความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ส่วนพรรค ภท.ถูกร้องเรียนเรื่องเงินผิดกฎหมาย ซึ่งการจะยุบพรรค ภท.นั้นจะมีอยู่ 3 องค์ประกอบ คือ 1.ที่มาของเงิน ซึ่งการบริจาคเงินนั้นกฎหมายไม่ได้ห้าม 2.คุณสมบัติของผู้ให้ กรณีนี้ต้องแยกกับข้อกล่าวหาเรื่องการอำพรางหุ้นออกจากกัน และ 3.ที่มาของเงินถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ นี่คือประเด็น

แหล่งข่าวกล่าวว่า กกต.ไม่ได้มีหน้าที่ในการชี้ว่าเงินนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ คนที่มีอำนาจชี้ตรงนี้ได้คือ ศาล, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) หากชี้มาวันไหน กกต.ก็ดำเนินการต่อได้ในวันนั้น สรุปคือต้องมีคำพิพากษามาให้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นการอำพรางหุ้น แต่ไม่ได้บอกว่าเงินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง