ลากไส้‘สุขวิมล’/บิ๊กต่อขู่ฟ้อง

"ทนายตั้ม​" แฉ​ "บิ๊กต่อ" โยงส่วยเว็บพนัน เปิดโปง 3 หน่วย บก.ปคม., คอมมานโด, ตำรวจไซเบอร์ รับส่วย 18  ธุรกิจสีเทา "ดาบยาว-รองฝาง" คนใกล้ชิด ดูแลบัญชีม้า โอนเข้าบัญชีภรรยา-พี่สาว-พี่ชาย เดือนละกว่า 100 ล้านบาท พร้อมต่อสายถึง "รองเต่า" นัดมอบหลักฐาน 28  มี.ค. "วปอ." ไม่เอาผิด "บิ๊กโจ๊ก" ปมส่งลูกน้องปลอมลายเซ็นซ้อมย่อยพิธีพระราชทานปริญญา นายกฯ กำชับที่ประชุม ก.ตร. ให้มูฟออนความขัดแย้ง 2 นายพล ขอให้กลับมาดูแลประชาชน “รรท.ผบ.ตร.”  โบ้ยเรื่องระหว่างบุคคล ว่าไปตามหลักฐาน "ผบ.ตร.-สมาคมนักข่าว" ขู่ฟ้อง

เมื่อวันอังคาร ที่ Sittra Law Firm นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม แถลงเปิดโปงขบวนการรับส่วยของกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ (คอมมานโด), กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ที่มีคนสนิทของบิ๊กตำรวจเกี่ยวข้องด้วย

โดยนายษิทรากล่าวว่า เรื่องดังกล่าวนั้นมี​ 3​ ตัวละครหลักๆ ได้เเก่ ด.ต.อภิชาต ผบ.หมู่ กก.1 บก.สอท.2​ (ดาบยาว) มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลของทุกทีมเก็บส่วย,   พ.ต.ท.สุรกุล รอง ผกก. กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.2 (รองฝาง) คนสนิท ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ (บิ๊กต่อ) โดยก่อนหน้านี้นั้น ทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์มีหน้าที่รับผิดชอบหน่วยงานในการดูเเลเเค่  2 หน่วยงาน ได้แก่คอมมานโดและ บก.ปคม. และภายหลัง พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง หรือบิ๊กเเจง มีการนำคนของตนเองไปอยู่ที่ บช.สอท. และได้เลื่อนขึ้นไปเป็นตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.

นายษิทรากล่าวว่า การส่งคนของพล.ต.อ.ต่อศักดิ์เข้าไปดูแลงานใน สอท. แทนนั้น ซึ่งมีผลประโยชน์มากมายมหาศาล เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ขณะนี้มี 3 หน่วยงานภายใต้ดูแล ได้แก่  บก.ปคม., บช.สอท. และคอมมานโด ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานนี้มีการตีตั๋วเรียกรับส่วยจาก 18 ธุรกิจสีเทา ได้เเก่ 1.เว็บพนัน 2.บ่อนการพนัน (ไพ่, ไฮโล, กิไก่) 3.เงินกู้ไทย-แขก 4.หวยใต้ดิน 5.สถานบันเทิง สถานบริการผับ  6.ร้านนวดที่แฝงขายบริการ 7.อาบอบนวด 8.โรงเซาน่า 9.ร้านเหล้าที่มี PR 10.บุหรี่ไฟฟ้า 11.บุหรี่หนีภาษี 12.ตลาดนัดเลียบด่วน ตลาดนัดตลาดไท 13.สถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวทำงาน ที่แอบเพิ่มแรงงานที่ไม่มีบัตร 14.จุดคอกรับซื้อน้ำมันเถื่อน โคมแดงข้างทาง 15.น้ำมันเขียวที่รัฐช่วยชาวประมง แต่จะมีเจ้าใหญ่ๆ ไม่กี่เจ้าที่ทำเป็นยี่ปั๊ว 16.โต๊ะสนุกเกอร์ 17.หัวหน้าแขกที่เอาแขกมาขายถั่วโรตี 18.คนขายยา SEX และมีเพศสัมพันธ์ไลฟ์สดเพื่อขายยา SEX

  ซึ่งจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นสาย รวม 5 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย แต่ละสายจะมีหัวหน้าชุดหรือเรียกว่า "แม่บ้าน" เป็นจ่าตำรวจและดาบตำรวจ ทำหน้าที่เก็บรวบรวมส่วยผ่านบัญชีม้า รวม 3 บัญชีหลัก ได้แก่ บัญชีชื่อนายณัฐพงค์ (สงวนนามสกุล) และบัญชีชื่อนายมงคล (สงวนนามสกุล) ซึ่งมีดาบยาวเป็นผู้ดูแล ส่วนบัญชีชื่อนายคชาชาญ (สงวนนามสกุล) มีรองฟางเป็นผู้ดูแล นอกจากนี้ยังมีบัญชีอื่นๆ  ด้วย ซึ่งบางบัญชีพบว่าเจ้าของบัญชีเสียชีวิตไปแล้ว คือบัญชีชื่อนายสำฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) แต่ยังคงมีการทำธุรกรรมอยู่

แฉโอนเงินเข้าบัญชี 'สุขวิมล'

โดยแม่บ้านแต่ละสายจะรวบรวมส่วยทั้งหมดที่ได้ส่งต่อไปยังบัญชีม้าที่ใช้ชื่อว่า “มงคล” กับ “ณัฐพงค์” จากนั้นจะมีการโอนเงินจากทั้ง 2 บัญชีส่งไปยังบัญชีม้าที่ชื่อ “คชาชาญ” ก่อนจะโอนเงินต่อไปยังบัญชีภรรยาของ “รองฟาง” อีกทอด รวมถึงมีการโอนเงินไปยังบัญชีที่ใช้นามสกุล “สุขวิมล” ซึ่งเป็นภรรยา, พี่สาว และพี่ชาย ของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ แต่ละสายจะส่งยอดส่วยเดือนละ 8-9 ล้านบาท หลังจากนั้นจะรวบรวมส่งไปยังระดับสูงสุด รวมเดือนละกว่า 100 ล้านบาท

นอกจากนี้ เส้นทางการเงินยังพบว่ามีการโอนต่อไปยังนักข่าวที่ประจำอยู่กองบังคับการปราบปราม สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

นายษิทรายังเปิดเผยเกี่ยวกับเส้นเงินของบัญชีม้าที่ชื่อนายคชาชาญอีกว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2566 มีการโอนเงิน 500,000 บาท และ 200,000 บาท รวมเป็น 700,000 บาท เข้าบัญชีทอดกฐิน สร้างวิหารวัดนครอินทร์ ซึ่งมีชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์เป็นประธานในพิธีด้วย

ทนายตั้มกล่าวยืนยันว่า ในการนำข้อมูลมาเปิดเผยครั้งนี้ ไม่ได้รับงานใครมา และไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง แต่ต้องการให้สังคมรับรู้ข้อมูล แม้จะรู้ว่าอาจได้รับอันตรายจากการออกมาเปิดเผย แต่ยอมรับว่าได้มีนายตำรวจใหญ่ติดต่อมาเพื่อขอทราบข้อมูล แต่ไม่ได้ขอให้ยกเลิกการแถลงข่าว รวมถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ก็โทรศัพท์มาขอให้ยกเลิก เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบทำให้ไม่ได้กลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ตนเองยืนยันจะนำข้อมูลมาเปิดเผย

ในระหว่างการแถลงข่าว ทนายตั้มยังได้ติดต่อไปยัง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อประสานนัดหมายนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความในวันพฤหัสบดีที่ 28 มี.ค. เวลา 11.00 น. อย่างไรก็ตาม หากนายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ได้เห็นการแถลงข่าวและเห็นว่าข้อมูลที่นำมาเปิดเผยมีประโยชน์ ต้องการขอข้อมูลเพิ่มเติมก็ยินดีจะเข้าไปพบด้วย

ทั้งนี้ จากกรณี พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รองผู้บังคับการกองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.พิทักษ์ แก้วคำหาร สว. (สอบสวน) สน.สุทธิสาร ให้ดำเนินคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รอง ผบก.สส.บช.ภ.2 กรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ใช้ ไหว้วานให้ พ.ต.อ.พัลลภ ปลอมลายมือชื่อตนเองในวันซ้อมย่อยพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและเข็มพระราชทาน วปอ. รุ่นที่ 65

แหล่งข่าวจาก วปอ.ระบุว่า การซ้อมย่อยพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและเข็มพระราชทาน วปอ. รุ่นที่ 65 นักศึกษาจะทราบขั้นตอนกันดี ใครมีเวลาหรือไม่มีเวลามาซ้อม ซึ่งจะมีการกำหนดตารางการซ้อมไว้คร่าวๆ ว่าจะดำเนินการกี่วัน ซึ่งประกอบด้วยการซ้อมย่อย การซ้อมใหญ่ นักศึกษาบางคนไม่ว่างติดภารกิจก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ให้มอบหมายให้ตัวแทน มาดำเนินการแทนได้ เช่น การซ้อมถ่ายรูปหมู่ สามารถดำเนินการได้ เพราะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มาซ้อมวันสุดท้ายวันเดียว ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ส่งลูกน้องมา

ส่วนการลงนามแทนนั้น เปรียบเสมือน ลงนามเพื่อแสดงให้เห็นว่ามาเป็นตัวแทน ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มาฝึกซ้อม มาถ่ายรูปแทน นักศึกษาบางคนไม่มีเวลามาก็แจ้งให้ตัวแทนมาแทน ซึ่งก็มีอยู่หลายคนไม่ใช่เฉพาะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เท่านั้นที่ส่งผู้แทนมา ซึ่งมองว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นสาระอะไร เขามาซ้อม แต่ไม่ได้มาซ้อมในวันดังกล่าว ติดงาน ไม่ว่างก็ส่งคนมา แต่คนที่ไปเซ็นแทนอาจจะพลาด ตรงที่ตอนเซ็น ควรจะวงเล็บว่าเป็นผู้แทน จึงดูไม่เหมาะสม แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีผลอะไร เพราะเป็นการแจ้งกันเองภายในและเป็นข้อกำหนดภายใน วปอ.

นายกฯ สั่งตำรวจมูฟออน

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่า ได้กำชับเรื่องความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบ.ตร. ขอให้ตำรวจทุกนายกลับไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนเป็นหลัก ขอให้เรื่องคดีของทั้งสองเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมโดยไม่มีการแทรกแซง นอกจากนี้ยังได้พูดคุยเรื่องการพัฒนาบุคลากรและอีกหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อ ตร. ซึ่งได้กำชับชัดเจนทุกฝ่ายก็เห็นด้วยว่าควรจะมูฟออนได้แล้ว

ส่วนที่นายษิทราแฉว่ามีนายตำรวจระดับนายพลหลายนายเกี่ยวข้องการรับเงินจากเว็บไซต์พนันออนไลน์ นายเศรษฐากล่าวว่า จะไม่ยุ่งเรื่องดังกล่าวแล้ว เพราะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง

เมื่อถามถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากนายกฯ จึงได้ยกเลิกการเดินทางไปประเทศอังกฤษนั้น นายเศรษฐากล่าวว่า จำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร ถือเป็นเรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งได้ลาราชการไว้ก่อนแล้ว เมื่อมีคำสั่งก็สามารถยกเลิกหรือขอไปใหม่ได้ ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เชื่อว่าทุกคนปฏิบัติตามกฎ

มีรายงานว่า ก่อนการประชุม ก.ตร. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงกรณีมีคำสั่งย้ายสองนายตำรวจใหญ่ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า เพื่อให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ปราศจากข้อความกล่าวหาว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่การลงโทษแต่อย่างใด ยังถือว่าทั้งสองคนเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนผลการดำเนินการจะนำไปสู่ขั้นตอนทางกฎหมายทางวินัยหรือปกครองหรือไม่นั้น ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่ได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นนายตำรวจระดับผู้กำกับการโทรศัพท์ไปขอข้อมูลกับนายษิทรา เกี่ยวกับเส้นทางการเงินที่เกี่ยวพันกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ส่วนข้อมูลที่ทนายตั้ม นำออกมาแฉ ก็จะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนจะนำไปมอบให้บุคคลใดก็สามารถทำได้ รวมทั้ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพราะใครทำอะไร พูดอะไร ก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง  หากไปกระทบสิทธิบุคคลที่สาม บุคคลนั้นก็สามารถใช้สิทธิตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างบุคคล ส่วนตัวยังไม่ทราบรายละเอียด เชื่อว่าทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกพาดพิงก็คงจะใช้สิทธิของท่าน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูแล้วเรื่องขัดแย้งครั้งนี้ 2 ฝ่ายยังไม่ยอมจบ โดยมีการส่งลูกน้องหรือคนใกล้ชิดออกมาโต้แย้งกัน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐหัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า  "ผมทำงาน ทำเพื่อประชาชน จับกุมคดีที่ผิดกฎหมาย ส่วนความขัดแย้งของใครก็ว่ากันไปตามหลักฐาน ไม่แทรกแซงแน่นอน ยืนยันไม่ลอยตัว ไม่หนีปัญหาแน่นอน"

รรท.ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า การที่ทนายตั้มจะมอบหลักฐานให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติซึ่งเป็นคู่ขัดแย้ง จำเป็นต้องเปลี่ยนพนักงานสอบสวนหรือไม่ ต้องรอดูและตรวจสอบความชัดเจนก่อน หากมีคนมาร้องเรียนไม่ว่าใครก็ยินดีน้อมรับและให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณา

ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด ขณะนี้เดินทางอยู่ต่างจังหวัด แต่ทราบข่าวมาบ้าง คงต้องมีการดำเนินคดีกับทนายษิทราแน่นอน ส่วนจะเป็นข้อหาใดนั้น ได้ให้ทีมนักกฎหมาย และทนายความพิจารณาดูแล้ว ทั้งนี้ วันที่ 27 มี.ค. จะให้ทนายความแถลงข่าว

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อกรณีที่นายษิทรากล่าวพาดพิง โดยระบุว่า ทางสมาคมนักข่าวฯ ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพสื่อสารมวลชน ไม่นิ่งนอนใจ ได้เร่งตรวจสอบข้อมูลกับนายษิทราอย่างเร่งด่วนภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น โดยได้รับการยืนยันจากทีมงานนายษิทราว่า ข้อมูลที่นำมาแถลงไม่ได้เกี่ยวข้องกับ "สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" องค์กรที่ถูกอ้างถึงคือ “สมาคมนักข่าว นสพ.แห่งประเทศไทย”

ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้ตรวจสอบเบื้องต้นในระบบการจดทะเบียนของสื่อมวลชน ไม่พบชื่อองค์กรที่ทีมงานนายษิทรากล่าวอ้าง จึงขอเรียกร้องให้นายษิทราออกมาระบุยืนยันให้ชัดว่าเป็นสมาคมใดกันแน่ เพราะถ้าแถลงด้วยข้อมูลคลุมเครือเช่นนี้ จะสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชน ทำให้สมาคมฯ เสียหาย ทั้งที่เคยออกแถลงการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว โดยยืนยันไม่เคยได้รับการบริจาคหรือสนับสนุนเงินจากองค์กรหรือบุคคลที่มีการกล่าวอ้างในการแถลงข่าวของทีมทนายความ ไม่เช่นนั้นทางสมาคมฯ จะปกป้องเกียรติยศและชื่อเสียงของสมาคมฯ ที่ได้ก่อตั้งมายาวนานถึง 69 ปี ด้วยการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ขอยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชุดสอบคดี 'บิ๊กต่อ' ยันไม่ล่าช้า มีหลักฐานพอสมควรแต่เปิดเผยไม่ได้

พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2(ผบก.น. 2) เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับคณะพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์บีเอ็นเคและในส่วนที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม