ไฟเขียวลากไส้ ‘บิ๊กต่อ’ใจใหญ่ ถอนฟ้อง‘ตั้ม’!

กรุงเทพฯ ๐ "ดีเอสไอ" ส่งคำร้องกรณีโอนคดีฟอกเงินเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ให้ ป.ป.ช.พิจารณา   เหตุมีข้อโต้แย้งระหว่างผู้ร้องและพนักงานสอบสวน ขณะที่ ผบ.ตร.ถอนฟ้อง "ทนายตั้ม" เชิญแฉเต็มที่

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ​ เผยแพร่เอกสารข่าวการส่งสำนวนการสอบสวนคดีเว็บพนัน BNK Master ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)​ สอบสวนต่อ

โดยระบุว่า ด้วยปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ.2567 ได้มีผู้ร้องมายื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้พิจารณาโอนคดีอาญาของสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน คดีอาญาที่ 391/2567 ฐานฟอกเงิน, สมคบกันฟอกเงิน กรณีเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ BNK Master มาดำเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547

เนื่องจากเห็นว่ามีรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิด เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ  (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2565 เรื่องกำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21  วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ข้อ 4  ประกอบบัญชีท้ายประกาศฯ ข้อ 7 ซึ่งกำหนดว่า คดีความผิดที่มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 60

และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีความผิดมูลฐานเป็นคดีพิเศษซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ  หรือคดีความผิดมูลฐานที่เป็นคดีอาญาอื่นที่มีมูลน่าเชื่อว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่มีมูลค่าตั้งแต่สามร้อยล้านบาทขึ้นไป โดยดีเอสไอได้รับเรื่องไว้สืบสวน เป็นสำนวนสืบสวนที่ 37/2567 เพื่อพิจารณว่าเข้าข่ายที่จะมีคำสั่งไว้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ โดยสำนวนอยู่ในความรับผิดชอบของกองคดีฟอกเงินทางอาญา

จากการสืบสวนมีการแสวงหาข้อเท็จจริงจากผู้ร้อง รวมทั้งการมีหนังสือสอบถามไปยังพนักงานสอบสวน คดีอาญาที่  391/2567 ของสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน ปรากฏข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเชื่อมโยงคดีอาญาดังกล่าวกับคดีอาญากรณีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ ที่พนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก่อนหน้านี้ และเนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 28 (2) ได้กำหนดหน้าที่และอำนาจในการไต่สวนของคณะกรรมการ  ป.ป.ช. เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และมาตรา 30 วรรคสอง กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนในคดีที่มีการกระทำอันเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท และคดีที่มีความเกี่ยวข้องกันและความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องดำเนินการในคราวเดียวกันด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เคยมีหนังสือหารือไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับแนวปฏิบัติตามมาตรา 30 วรรคสองแล้ว  โดยสำนักงาน ป.ป.ช.ได้มีหนังสือที่ ปช 0026/0089 ลงวันที่ 22 ต.ค.2562 แจ้งว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า คดีลักษณะใดเป็นคดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องกัน และความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องดำเนินการในคราวเดียวกันนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะพิจารณาวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นรายกรณีไป ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอำนาจการสืบสวนเละสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ดังนั้น เมื่อดีเอสไอไม่มีข้อเท็จจริงในคดีอาญาหลักที่มีการกล่าวอ้างที่จะเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัย และเมื่อพิจารณาประกอบหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช.ข้างต้น คณะพนักงานสืบสวนจึงมีมติเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ให้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.  เพื่อพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 30 วรรคสอง

ทั้งนี้ หากภายหลังคณะกรรมการ  ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรมสอบสวนคดีพิเศษจะพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.  และเป็นตัวแทนแถลงข่าวว่า ประเด็นเรื่องของทางนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ได้เดินทางไปวัดนครอินทร์  และประกาศเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และภรรยา พร้อมนายณัฐพงศ์และนายคชาชาญ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

ซึ่งจากเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา   ตนและทีมทนายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้มีการไปฟ้องร้องทางด้านของนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ข้อหา หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 5 ล้านบาท ซึ่งหลังจากวันนี้ ที่ทางทนายตั้มได้มีการเปิดเผยกับสื่อมวลชนที่วัดนครอินทร์ จึงทำให้ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมได้มีการประชุมในประเด็นนี้ ก็มีความเห็นว่า สิ่งที่ทนายตั้มได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ร้องถูกกล่าวโทษ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล กับภรรยา และบุคคลที่กล่าวอ้างว่าเป็นบัญชีม้า ทนายตั้มสามารถทำได้ตามหน้าที่และตามกฎหมาย ทางชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมก็เลยมีมติให้ทางทนายตั้มสามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ จึงได้เสนอ ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ได้ถอนฟ้อง ทนายตั้มในวันนี้ และทาง ผบ.ตร.เห็นชอบให้ถอนฟ้องทนายตั้ม และทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล และครอบครัว พร้อมให้ตรวจสอบและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

นายอัจฉริยะกล่าวต่อว่า สิ่งที่เราฟ้องร้อง ทนายตั้มบอกว่าเป็นการฟ้องปิดปาก ดังนั้นเพื่อเปิดโอกาสให้ทนายตั้มดำเนินงานได้อย่างเต็มที่ ตรวจสอบทุกมิติ จะเปิดโปงอะไรก็ยินดีให้ดำเนินการตามกฎหมายทุกมิติ เราจึงมีความเห็นต่อ ผบ.ตร. และได้ดำเนินการถอนฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งเรียบร้อยแล้ว

แต่ถ้าหากวันที่ 1 เมษายนนี้ นายษิทราไม่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษตามที่กล่าวอ้าง ก็จะต้องตอบสังคมให้ได้ว่าเพราะอะไร โดยทางชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมพร้อมที่จะสนับสนุนให้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ และเห็นด้วยที่พยายามนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เนื่องจากเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าทางทีมทนายและ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ไม่ได้ฟ้องปิดปากในเรื่องของขัดขวางการดำเนินคดี และทำให้ตำรวจได้มีโอกาสทำงานอย่างเต็มที่ในการสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐาน

เบื้องต้น ผบ.ตร.ยืนยันว่าส่วนตัวไม่มีเส้นทางการเงินของเว็บพนันไปถึงแน่นอน แต่ในส่วนครอบครัว เป็นหน้าที่การพิสูจน์ของทนายตั้ม ที่จะไปยื่นฟ้องในวันที่ 1 เมษายนนี้ว่ามีหรือไม่ เพราะบางเรื่องตนตอบแทนไม่ได้ และยืนยันว่าการถอนฟ้องครั้งนี้ไม่ใช่การซูเอี๋ยกัน  ขอให้ทนายตั้มดำเนินการตามที่พูดด้วย  ทุกขั้นตอนเราไม่มีการขัดขวาง และยืนยันว่าการดำเนินการครั้งนี้ไม่ใช่สงครามตัวแทน แม้ส่วนตัวตนและทนายตั้มจะเคยมีปัญหากันมาก่อน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง