วอนเคารพกฎ รองอธิบดีศาลฯ ชดใช้ชนแล้วหนี

7 วันอันตราย ผ่านมา 2 วันเกิดอุบัติเหตุรวม 784 ครั้ง เสียชีวิต 85 ราย บาดเจ็บ 786 คน “ขับรถเร็ว-เมาแล้วขับ” ยังเป็นสาเหตุหลัก “ปภ.” เร่งประสานท้องถิ่นคุมเข้มเส้นทางสายรองช่วงฉลองปีใหม่ หวั่นกินเลี้ยงสังสรรค์ขับรถเสี่ยงสูง “บิ๊กตู่” ห่วง ปชช. ขอเคารพกฎจราจร งดดื่มแอลกอฮอล์ “โฆษกศาลยุติธรรม” รับหนุ่มใหญ่ชนแล้วหนีเป็น “ผู้พิพากษา” จริง ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อนดำเนินการ “รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลฯ ภาค 5” ยอมเจรจาชดใช้ให้ผู้เสียหาย

เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2564 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แถลงถึงการอำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 30 ธ.ค.2564 ซึ่งเป็นวันที่สองของการรณรงค์ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 422 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 44 ราย ผู้บาดเจ็บ 426 คน

สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 33.20 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 29.60 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82.70 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 81.80 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 43.1 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 32.9 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 18.01-21.00 น. ร้อยละ 22.70 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด อยู่ในช่วงอายุ 40-49 ปี ร้อยละ 16.10

ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,911 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 62,318 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 269,597 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 46,796 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 14,484 ราย ไม่มีใบขับขี่ 11,866 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (21 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ร้อยเอ็ด (จังหวัดละ 3 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (19 คน)

“สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 2 วันของการรณรงค์ (29-30 ธ.ค.64) เกิดอุบัติเหตุรวม 784 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 85 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 786 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 46 จังหวัด จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (31 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา (7 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เลย (32 คน)” รองปลัดกระทรวงมหาดไทยระบุ

ขณะที่นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งมีการจัดงานสังสรรค์กับครอบครัวและญาติมิตรภายในครอบครัวและหมู่บ้าน อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจากการดื่มแล้วขับ โดยเฉพาะถนนทางหลวง เส้นทางสายรอง ถนน อบต.และหมู่บ้าน จึงได้ประสานจังหวัดดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในเส้นทางดังกล่าวเป็นพิเศษ คุมเข้มขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดื่มแล้วขับ และไม่สวมหมวกนิรภัย รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นจัดตั้งจุดตรวจของด่านชุมชนในเส้นทางสายรอง เส้นทางเข้า-ออกชุมชนและหมู่บ้าน เพื่อป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน พร้อมคุมเข้มกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้สวมหมวกนิรภัยและไม่ขับขี่ด้วยความคึกคะนอง

ด้านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (pmoc) ได้เผยแพร่ข้อความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความห่วงใยประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยย้ำผู้ขับขี่ยานพาหนะต่างๆ ให้เคารพและปฏิบัติตามกฎจราจร รวมทั้งงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างขับขี่ยานพาหนะ เพื่อให้การเดินทางไปสู่ที่หมายอย่างปลอดภัย เพื่อจะได้ร่วมฉลองปีใหม่อยู่กับครอบครัวและญาติพี่น้องอย่างมีความสุข

วันเดียวกัน เฟซบุ๊กแฟนเพจ “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 3” ได้โพสต์คลิปวิดีโอ เหตุเกิดที่แยกแสงตะวัน ถนนช้างคลาน อำเภอเมืองฯ จ.เชียงใหม่ โดยในคลิปปรากฏเหตุการณ์ที่คนขับรถได้ขับย้อนศรชนเข้ากับรถคันอื่น ต่อมาขับหนีไป แต่เมื่อคุมตัวได้ก็มีการกล่าวอ้างกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าตนเป็นรองอธิบดีภาค 5

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบพบบุคคลในคลิปดังกล่าวคือ นายชาญศักดิ์ สมประโยชน์ ปัจจุบันเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบ ภาค 5

ต่อมา เอกสารข่าวของสำนักงานศาลยุติธรรมชี้แจงโดยนายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า สำนักงานศาลยุติธรรมเมื่อทราบข้อมูลเบื้องต้นตามที่ปรากฏเป็นข่าว ได้เร่งตรวจสอบ ทราบว่าบุคคลตามข่าวเป็นผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม แต่กำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องให้แน่ชัดก่อนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งที่ปรากฏในคลิปและข้อเท็จจริงอื่นๆ ตลอดจนข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคคลที่อาจรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก่อนจะสามารถดำเนินการใดๆต่อไป

ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญคู่กรณีทั้งนายไพโรจน์ พรหมธารา อายุ 32 ปี หนุ่มกู้ภัย และนายชาญศักดิ์ สมประโยชน์ อายุ 59 ปี รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบ ภาค 5 ที่ขับรถไปเฉี่ยวชนคนขับรถตุ๊กๆ แล้วหนี ทำให้นายไพโรจน์ เจ้าหน้าที่กู้ภัยตัดสินใจขับรถตามให้หยุดรถ จนเกิดการชนรถของนายไพโรจน์ ทำให้ด้านข้างประตูซ้ายเสียหายเป็นรอย กระทั่งมีตำรวจสายตรวจมาระงับเหตุ เมื่อคืนวันที่ 28 ธ.ค.2564 มาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนและไกล่เกลี่ย ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง

พ.ต.อ.ภูวนาถ ดวงดี ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า คู่กรณีเคลียร์กันแล้ว เข้าใจว่าอาจเกิดจากการเข้าใจผิดกัน เพราะรองอธิบดีฯ หลังชนรถตุ๊กๆ บอกจะไปเคลียร์กันที่โรงพัก แต่กู้ภัยเข้าใจผิดว่าชนแล้วหนี จึงติดตามไปจนทำให้เกิดการเฉี่ยวชนอีกครั้ง ซึ่งรองอธิบดีฯ จะชดใช้ค่าเสียหายให้เป็นค่าซ่อมรถจำนวนเงิน 10,000 บาท ส่วนคนขับรถตุ๊กๆ ก็จ่ายค่าเสียหายแล้ว

“ส่วนที่รองอธิบดีฯ ไม่ยอมตรวจวัดแอลกอฮอล์ในวันเกิดเหตุ เรื่องนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน ส่วนจะมีความผิดหรือไม่ที่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือตรวจวัดแอลกอฮอล์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นกัน เพราะทุกอย่างต้องรอการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน” พ.ต.อ.ภูวนาถกล่าว

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถว่า สุ่มเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งตำรวจได้ตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง จึงอยากเตือนไปยังประชาชนการขับขี่รถขณะเมาสุรา เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจร พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น มาตรา 160 ตรี ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ หรือถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาท ถึง 120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง