‘ตั้ม’ปูดส่วยสีดำโยงบิ๊กๆ ‘อัจฉริยะ’โต้หลักฐานเท็จ

"ทนายตั้ม" ยื่นเอกสารคำให้การเพิ่ม 9 แผ่น หลัง พงส.สน.เตาปูนทำคำให้การเพียง 1 แผ่น ถามออกหมายเรียก "บิ๊กต่อ" เมื่อไหร่ พร้อมนําแผนผังขบวนการส่วยลำดับที่ 19 ชี้เป็นส่วยสีดำมืดของไทย โยงบุคคลหลายระดับยิ่งกว่า ผบ.ตร.มอบให้ตำรวจ ปปป. ขณะที่ "อัจฉริยะ" เปิดเอกสารลับจากธนาคารโต้เส้นเงินที่ "ทนายตั้ม" อ้างโยงถึง ผบ.ตร.และภรรยา เป็นความเท็จ ซัดไม่เป็นกลางด้อยค่า กก.ที่นายกฯ ตั้งขึ้น แต่พอใจ   ก.ร.ตร.ของ "เรวัช"

ที่ สน.เตาปูน วันที่ 11 เมษายน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ  พร้อมกับ น.ส.พิมพ์วิไล เดินทางมายื่นคำให้การเพิ่มเติม เป็นหนังสือลายลักษณ์อักษร หลังจากสอบคำให้การครั้งก่อน เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมาไม่ละเอียดและไม่ครบถ้วน ทำให้ไม่เชื่อมั่นในการทำงาน

นายษิทรากล่าวว่า ครั้งที่แล้วตนพาสายลับและ น.ส.พิมพ์วิไลมาให้การเพิ่มเติม แต่ทางพนักงานสอบสวนจดบันทึกข้อความไม่ครบถ้วน กลัวเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. โดยรายละเอียดของคำให้การวันนี้เป็นของ น.ส.พิมพ์วิไล เริ่มตั้งแต่โอนเงินเข้าบัญชีไหน กี่ครั้ง และหลักฐานว่าโอนไปยังตำรวจ สอท.และคนรอบตัวของ ผบ.ตร.ด้วย

โดยได้นำเอกสารคำให้การมาเพิ่ม จำนวน 9 แผ่น จากเดิมที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้เพียง 1 หน้า ส่วนสายลับ ตนพามายื่นคำให้การเมื่อวาน เวลาประมาณ 08.30 น. เป็นการบอกรายละเอียดตั้งแต่ต้น ว่าเข้าไปทำงานกับชุดเก็บส่วยได้อย่างไร รวบรวมส่วยส่งใคร และมีการจ่ายเงินในห้องหนึ่ง ที่ตึก สอท. หลังจากนั้นยังเห็นว่าดาบยาวและรองฟางเอาเงินไปที่ห้องห้องหนึ่งที่มี ผบ.ตร.อยู่ แต่ไม่ทราบว่าภายในห้องทำอะไรกัน

นายษิทรากล่าวว่า จะมาสอบถามกับทาง สน.เตาปูนว่า "จะออกหมายเรียก ผบ.ตร.กี่โมง" และดำเนินการไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว ซึ่งตนยังรู้มาอีกว่าทาง สน.เตาปูนไม่อยากทำคดีนี้ และพยายามโอนคดีไปที่อื่นเพื่อปัดความรับผิดชอบ ซึ่งถ้าเป็นการโอนคดีโดยมิชอบ ตนจะดำเนินการกับผู้โอนดคี ส่วนเวลา 11.00 น. วันนี้ พรรคทางเลือกใหม่จะเดินทางมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทำคดี สน.เตาปูน มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เจ้าหน้าที่จะได้มีกำลังใจ และทำคดีของตนให้แล้วเสร็จ

ทนายตั้มเปิดเผยว่า ที่ไปยื่นเอกสารให้กับคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ทาง พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร มีมติเอกฉันท์ในการรับเรื่องที่ตนร้องเรียนไว้พิจารณาแล้ว ถ้าพบมีความผิดจริง จะมีการไล่ออกหรือปลดออกไว้ก่อน และในส่วนของมีบุคคลหนึ่งไปร้องเรียน พล.ต.ท.เรวัช ว่าทำงานไม่เป็นกลาง ตนรู้มาว่าบุคคลนั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และอาจจะทำไปเพื่อดิสเครดิต พล.ต.ท.เรวัชก็ได้

"ส่วนวานนี้ที่ผมพาพยานและนำหลักฐานไปยื่นให้กับทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ทางนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตั้งขึ้น และได้เจอ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ด้วย ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าผลจะเป็นอย่างไร และคาดว่าคณะกรรมการฯ ชุดนี้จะดึงเรื่องออกไปก่อน ซึ่งคณะกรรมการฯ มีอำนาจในตรวจสอบเอกสาร ถ้าคิดว่าเอกสารผมยื่นไม่จริง ก็ไปดึงเอกสารตัวจริงมา ถ้าดึงมาแล้วไม่ตรงกัน เท่ากับผมยื่นเอกสารเท็จ สามารถดำเนินคดีได้เลย" นายษิทรา กล่าว

ต่อมา นายษิทราเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เพื่อติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางการเงินข้าราชการตํารวจเกี่ยวข้องรับเงินส่วยเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกล่าวว่า เมื่อ 2 วันที่แล้วตนเองได้โทร.หา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพื่อประสานว่าจะเข้ามาติดตามความคืบหน้ากรณีร้องเรียนให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินข้าราชการตํารวจเกี่ยวข้องรับเงินส่วยเว็บพนันออนไลน์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเบื้องต้นทราบว่าคดีนี้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกองกํากับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กก.2 บก.ปปป.) ซึ่งตนได้ประสานกับทางผู้กำกับมาโดยตลอด ล่าสุดวันนี้ตนได้ไปสอบถามความคืบหน้า ผลปรากฏว่า ตํารวจเพิ่งดําเนินการขอสเตทเมนต์ของ น.ส.พิมพ์วิไลเมื่อวานนี้ และทางผู้ใหญ่จะมีการตั้งคณะทํางานขึ้นมา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดว่าจะตั้งแบบไหนอย่างไร

ทนายตั้มกล่าวว่า หลังจากช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ตนจะเดินทางเข้ามาติดตามความคืบหน้ากับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติอีกครั้งว่าจะทําคดีหรือไม่ และที่บอกว่า "ไม่มีใครใหญ่กว่ากฎหมาย ใหญ่แค่ไหนก็จับ และไม่เคยเลียตูดใคร" เป็นจริงตามที่พูดหรือไม่ ยอมรับรู้สึกคาดหวังว่าจะมีการดําเนินคดีกับตํารวจยศใหญ่และเครือยข่ายที่มีการรับส่วยจริงๆ ส่วนตัวรู้สึกท้อ แต่ไม่ถอย

"วันนี้ได้นําแผนผังขบวนการส่วยลำดับที่ 19 ซึ่งเป็นส่วยสีดำ มาให้กับทาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ แต่ไม่พบท่าน ซึ่งส่วยนี้คาดว่าจะเปิดหลังสงกรานต์ แต่ผมจะมาตามความคืบหน้าคดีนี้ก่อนแล้วจะพิจารณาอีกทีว่าควรจะเปิดขบวนการส่วยลำดับที่ 19 หรือไม่ เนื่องจากอยากให้เสร็จไปทีละคดี" 

ทนายตั้มกล่าวทิ้งท้ายว่า "ส่วยที่ 19 เป็นวงการดํามืดของประเทศไทย เกี่ยวข้องกับบุคคลคนหลายระดับ ยิ่งกว่า ผบ.ตร. หากคิดว่าหลักฐานทุกอย่างกลบหมดแล้ว แต่อย่าลืมว่าเรื่องเส้นเงินยังไงก็กลบไม่มิด"

วันเดียวกัน ที่สโมสรราชพฤกษ์ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ตรวจสอบ ความขัดแย้งในเรื่องบุคลากร ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามหนังสือเชิญเข้าให้ชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ

โดยนายอัจฉริยะกล่าวว่า ได้ถูกเชิญจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จและข้อกฎหมายที่นายกรัฐมนตรีจัดตั้งขึ้น โดยเข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีของความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ในฐานะที่ตนเป็นผู้รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด ทั้งนี้ ตนได้นำวัตถุพยานและหลักฐานทั้งการทุจริตของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อาทิ การซื้อขายทองคำจำนวน 16,000 บาท การซื้อขายพระที่อ้างค่านายหน้า และปืนจำนวน 200 กระบอก รวมถึงหลักฐานเส้นทางการเงินของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กับภรรยา ที่ถูกกล่าวหาโดยทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด

นายอัจฉริยะกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่ตนไม่เคลื่อนไหวอะไร เพราะอยากให้ทนายตั้มใช้สิทธิ์ได้เต็มที่ ซึ่งรายละเอียดที่ทนายตั้มได้นำมายื่นเป็นเอกสารชุดเดียวกับที่ได้มาจากตำรวจนายหนึ่งในภูธรภาค 9 และเอกสารที่แสดงถึงเส้นทางการเงินของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล กับภรรยานั้นเป็นความเท็จทั้งสิ้น โดยมีเอกสารยืนยันจากธนาคารถึงบัญชีของทั้ง 2 ว่าไม่มีหน่วยงานรัฐใดที่เข้าถึงข้อมูลของธนาคารตั้งแต่ปี 2562 โดยมีทั้งธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงศรีอยุธยา

"ดังนั้นที่ทนายตั้มนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน ถือว่ามีความน่าสงสัยว่าได้เส้นทางการเงินมาจากบุคคลใด กระทำขึ้นมาเองหรือไม่ ซึ่งนี่คือหลักฐานยืนยันที่สำคัญในทางนิติวิทยาศาสตร์ของธนาคารทั้ง 2 บัญชีที่ถูกกล่าวอ้าง นอกจากนี้ ถ้าหากข้อมูลจากธนาคารหลุดออกไปจริง ธนาคารต้องเป็นผู้รับผิดชอบว่าเกิดการรั่วไหลของข้อมูลออกไปได้อย่างไร แต่เชื่อว่าทั้ง 2 ธนาคารคงไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้ง PDPA และกฎหมายละเมิดสิทธิ"

นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า ทนายตั้มนั้นด้อยค่าการทำงานของคณะกรรมการฯ ที่นายกฯ จัดตั้งขึ้น แต่กลับพอใจกับคณะกรรมการฯ ของ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร มากกว่า ซึ่งตนมองว่าไม่มีความเป็นกลาง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง