‘ปชป.’ปรับสูตรใหม่! หวังกลับเป็นเสาหลัก

กรุงเทพฯ ๐ ประชาธิปัตย์ประชุมใหญ่พรรค ไฟเขียวแก้น้ำหนักคะแนนโหวต   กก.บห.-กก.สรรหาใหม่ ใช้สูตร 40:40:20 "เฉลิมชัย" ยันต้องการเห็นพรรคกลับมาเป็นเสาหลักของบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง ไม่เชื่อว่ารัฐบาลไหนไม่กลัวประชาธิปัตย์

เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เขตหลักสี่  กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์จัดประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2567 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค   (กก.บห.), สส.และอดีต สส. รวมถึงตัวแทนสาขาพรรคทั่วประเทศ เข้าประชุมรวม 417 คน

ในส่วนของแกนนำพรรคก็เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรค,  นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ อดีต สส.ตาก   เป็นต้น

ทั้งนี้ มีวาระการพิจารณาเรื่องที่ประธานแจ้งให้ทราบ และการรับรองรายงานการประชุมใหญ่วิสามัญพรรค ประจำปี 2566 ครั้งที่ 3 รวมถึงการรายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปี และการพิจารณารับรองงบการเงินประจำปี 2566 พร้อมรับทราบแผนยุทธศาสตร์ รวมถึงโครงการที่พรรคจะดำเนินการในปีต่อไป โดยเฉพาะการหารายได้ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมือง และการพัฒนาบุคลากรทางการเมืองของพรรค

นอกจากนี้ ยังมีวาระการพิจารณาที่สำคัญ ในวาระที่ 4 คือการแก้ไขข้อบังคับพรรค ที่จะแก้ไขสัดส่วนการโหวตเลือกหัวหน้าพรรคและ กก.บห. จากเดิมที่ใช้สัดส่วน 70 ต่อ 30 คือร้อยละ 70 มาจากคะแนนของ สส. และร้อยละ 30 มาจากองค์ประชุมที่เป็นโหวตเตอร์ 16 กลุ่ม ให้มาเป็นสัดส่วน 40:40:20 โดยร้อยละ 40 แรก มาจากคะแนนโหวตของ สส. สำหรับร้อยละ 40 ที่สอง มาจากคะแนนสมาชิกพรรคที่เป็นโหวตเตอร์ ส่วนร้อยละ 20 มาจาก กก.บห.  โดยหาก สส.คนใดเป็น กก.บห.อีกตำแหน่ง กำหนดให้โหวตในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เพื่อยืดหยุ่นและเปิดทางให้บุคคลที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค ไม่ต้องเป็นสมาชิกถึง 5 ปี ก็สามารถลงสมัครเป็น กก.บห. หรือตำแหน่งสำคัญของพรรคได้ โดยเป็นสมาชิกพรรคเพียง 2 ปี

สำหรับการพิจารณวาระที่ 4 แก้ไขข้อบังคับพรรค เรื่องน้ำหนักคะแนนการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค และกรรมการสรรหา สส.นั้น นายเดชอิศม์ ในฐานะประธานคณะกรรมการยกร่างข้อบังคับพรรคใหม่ เสนอต่อที่ประชุมว่า   คณะกรรมการยกร่างฯ ได้ทำการรับฟังเสียงจากสมาชิกพรรค ตัวแทนสาขาพรรค และตัวแทนพรรคประจำจังหวัด  รวมถึง สส.และผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยใช้เวลาทำงาน 3 เดือน เห็นพ้องว่าให้ตัดน้ำหนักคะแนนของ สส. จากร้อยละ 70 เหลือร้อยละ 40 และเพิ่มในสัดส่วนของสมาชิกพรรคที่เป็นองค์ประชุม จากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 รวมถึงเพิ่มสัดส่วนคะแนนของ กก.บห. เป็นร้อยละ 20

ขณะที่ นายบัญญัติ ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรค  แสดงความเห็นว่า ในการประชุม กก.บห. และ สส.พรรคที่พัทยา เมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ตนเสนอในที่ประชุมว่าควรเป็น 40:30:30 แต่ภายหลังประชุมมีสมาชิกพรรคหลายคนเสนอว่าควรจะใช้สูตรร้อยละ 50 มาจากสมาชิกพรรคที่เป็นองค์ประชุม และร้อยละ 25 เป็นของ สส. และอีกร้อยละ 25 เป็นของ กก.บห. เพื่อเปิดกว้างให้ตัวแทนสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด และสมาชิกพรรคในกลุ่มอื่นอีก 16 กลุ่ม ตามข้อบังคับพรรคใหม่ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคได้มากขึ้น

ใช้สูตร 40:40:20

จากนั้นที่ประชุมเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง ก่อนที่นายเดชอิศม์จะตัดบทว่า  การอภิปรายของนายบัญญัติเป็นเพียงข้อเสนอแนะด้วยความห่วงใย ซึ่งจะใช้พิจารณาในครั้งต่อๆ ไป แต่ไม่ใช่ญัตติที่จะต้องโหวต ดังนั้น ตนจึงขอเสนอร่างข้อบังคับฯ ของคณะกรรมการยกร่างฯ ซึ่งที่ประชุมพิจารณาโหวตเห็นชอบร่างข้อบังคับฯ 316 เสียง ใช้สูตร 40:40:20

ต่อมานายเฉลิมชัยกล่าวปิดการประชุมว่า ได้พูดคุยกับ กก.บห.และ สส.ว่าวันนี้ประชาธิปัตย์ยืนหยัดด้วยหลักการและอุดมการณ์ 100 เปอร์เซ็นต์  ทุกอย่างพูดโดยไม่อายฟ้าอายดินว่าไม่เคยทำผิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง และยังยึดมั่นในความเป็นประชาธิปัตย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ขอบอกกับทุกคนว่า การฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์คือหน้าที่ของพวกเราทุกคน

"เมื่อผมเข้ามารับหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรค ได้มีการตั้งศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร เพราะเห็นว่าเรื่องการใช้เทคโนโลยีเราไม่ทันเขา จึงถือเป็นเรื่องแรกที่ตนตัดสินใจตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้นมา เราจึงเป็นพรรคการเมืองแรกและเป็นพรรคแรกของประเทศไทยที่สามารถสมัครสมาชิกพรรคทางโซเชียลมีเดียและทางโทรศัพท์ได้ ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าประชาธิปัตย์ปรับตัวแล้ว แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่นี่เป็นก้าวแรกที่จะทำให้เขารู้ว่าเราจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่เหมือนกับหลายๆ คนที่ไม่ทำงานแล้วด้อยค่าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมไม่รู้ว่าทำไมบ้านหลังนี้ไม่เคยมีอะไรให้เขาติดค้างบ้างเลยหรือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากเห็นภาพความเป็นพรรคประชาธิปัตย์คือความมีเอกภาพในพรรค ผมขอยืนยันกับสมาชิกทั่วประเทศ จะไม่มีวันทำผิดทั้งต่อหน้าและลับหลังเด็ดขาด  ผมมั่นใจว่าผมเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง"

นายเฉลิมชัยกล่าวอีกว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค เพื่อต้องการกำหนดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเชิญอดีต สส. อดีตผู้บริหารพรรค และคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมกันทำงาน เพื่อที่จะได้สูตรเพื่อเป็นตัวกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนพรรค ซึ่งสิ่งที่จะตามมาคือเราต้องให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรค ที่ต้องมีความเสมอภาคกัน  ไม่ใช่ให้ความสำคัญเฉพาะวันที่มีประโยชน์เพียงอย่างเดียว โดยคณะทำงานจะได้เดินทางไปดูแลสมาชิก สาขาพรรคในทั่วประเทศ และจะพยายามให้มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น นอกจากมีปริมาณแล้วจะต้องมีคุณภาพด้วย และอย่าลืมว่า ที่ผ่านมามีประชาธิปัตย์ได้เพราะมีสมาชิกพรรคและสาขาพรรคที่เข้มแข็ง  แต่สถานการณ์และเวลาเปลี่ยนไป คนอาจจะมองว่าเราให้ความสำคัญเฉพาะด้านบน แต่ภาคพื้นดินก็มีความสำคัญ  ดังนั้นเราจึงต้องทำควบคู่กันไป

ไม่มีรัฐบาลไหนไม่กลัว ปชป.

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังเผยว่า   นอกจากนั้นยังมีคณะกรรมการการเมือง  ซึ่งจะต้องไปกราบเรียนให้ผู้อาวุโสของพรรคให้มาช่วยกันวิเคราะห์และกำหนดแนวทางขับเคลื่อนพรรคด้วย รวมถึงคณะกรรมการด้านสิ่งแวดล้อม พรรคก็ต้องมีความชัดเจน เพราะวันนี้เศรษฐกิจกับคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม เราไม่รู้ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน เราจึงต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องขับเคลื่อนทั้งหมด หลังจากที่ทุกคนมอบให้ตนเป็นหัวหน้าพรรค โดยจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่รีบก้าว แต่จะยึดหลักการและกฎหมายเป็นหลัก นอกจากนั้นยังจะมีคณะทำงานด้านวิชาการเข้ามาเสริมการทำงานของ สส.ด้วย

“ผมมั่นใจว่าทั้งชีวิตผมมอบให้ประชาธิปัตย์อยู่แล้ว ผมต้องการเห็นพรรคกลับมาเป็นเสาหลักของบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างหนึ่งของพรรคคือ ความซื่อสัตย์สุจริต  ผมยึดหลักนี้มาทั้งชีวิต และขอบอกกับทุกคนว่า ถ้าเราไม่มีหลักนี้อยู่ ก็ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์อยู่มาถึงทุกวันนี้ได้"

นายเฉลิมชัยยืนยันว่า กก.บห.และสส.ทำงานอย่างเต็มที่ ระยะเวลาทางการเมืองวันนี้อยู่ที่การคำนวณจังหวะและเวลา ถ้าอีก 6 เดือนเลือกตั้ง หากวันนี้เราไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ แต่ผมยังเชื่อว่าถ้าการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงอีก 6 เดือนก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าในระบอบประชาธิปไตยอยู่อีก 3 ปี เพราะฉะนั้นระยะเวลาที่เหลืออยู่ สิ่งที่อยากเห็นและเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องเผชิญและเดินไปข้างหน้าได้ คือความมีเอกภาพของพรรค เพราะนี่คือพลังที่แท้จริงของประชาธิปัตย์

"ผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลไหนไม่กลัวประชาธิปัตย์ถ้าเรามีความเป็นเอกภาพ นี่คือสิ่งที่ผมพยายามพูดมาตลอด และทุกการตัดสินใจจะยึดสถาบันและองค์กรเป็นหลัก ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัว ไม่เอาความสุขส่วนบุคคลมาตัวเกี่ยว"

นายเฉลิมชัยยังแถลงภายหลังการประชุมใหญ่สามัญพรรคว่า เราจะทำให้พรรคเติบโตและเพิ่มสมาชิกพรรค โดยการตั้งคณะทำงานในเรื่องสมาชิกพรรค สาขาพรรค และตัวแทนพรรค เข้าไปดูแลโดยตรง เดินทางไปพบปะชี้แจงให้ความรู้ทั่วไปประเทศ นอกจากนี้ยังจะดำเนินการในอีกหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นพรรคจะให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม เนื่องจากในปัจจุบันเกิดผลกระทบต่อประชาชนและลูกหลานในอนาคต เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เซาะกร่อนชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัว จึงต้องมีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล จะต้องมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน

'เต้' ยืนยันฝีปากตัวเอง

ผู้สื่อข่าวถามถึงการดึงคนรุ่นเก่าและอดีต สส.กลับพรรค นายเฉลิมชัยตอบว่า กำลังประสานงาน และคงจะมีการแถลงข่าวอยู่เรื่อยๆ ส่วนการมอบหมายงานให้กับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์นั้น ยังไม่ได้พูดคุย แต่จะหางานที่เหมาะสมให้ในภายหลัง และได้เรียนไว้เป็นหลักการว่า การทำงานของพรรคต้องทำงานกับประชาธิปัตย์ทั้งหมดให้ได้ เพราะพรรคเป็นองค์กร

เมื่อถามว่า วางบทบาทการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงว่า ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ก่อนหน้านี้มีข่าวต่างๆ ออกมาเกี่ยวกับพรรค ตนก็บอกว่าถ้ามีจริงก็ให้เปิดออกมา แต่ไม่มีใครแก้ข่าวให้ เพราะฉะนั้นยืนยันพรรคทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ แต่พรรคก็ไม่สามารถขอเปิดอภิปรายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 และมาตรา 152 ได้ด้วยตนเอง เพราะพรรคมี สส.เพียง 25 คน อย่างไรก็ตาม เร็วๆ นี้จะมีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 68 เราก็ยังยืนจะทำหน้าที่ตรวจสอบ อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ท้วงติงนำเสนอต่อสาธารณะ ส่วนอะไรที่ถูกต้องเราก็ไม่คัดค้านแน่นอน

ด้านนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์   สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์การประชุมใหญ่สามัญพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นเรือใหญ่ที่มีฝีพายที่มีฝีมือเยอะ มีประสบการณ์ทั้งพรรค ดังนั้นถ้าฝีพายที่แข็งแรงถูกส่งไปเป็นฝีพายตัวจริง แต่เมื่อถึงเวลาที่เรือลำใหญ่ขึ้น ก็ต้องได้ฝีพายมากขึ้น ซึ่งเหมือนกับ สส.ที่จะเป็นที่พึ่งให้ประชาชน ตนเชื่อมั่นว่าในปี 2570 พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมายิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิม แต่ต้องได้รับการสนับสนุนของประชาชน

นายมงคลกิตติ์ยังกล่าวถึงความประสงค์ที่อยากจะลงสมัคร สส.ว่า ถ้าในเดือน พ.ค.นี้มีการยุบพรรคการเมืองบางพรรค ก็จะทำให้มีการเลือกตั้งซ่อม สส.ใน 8 เขตเลือกตั้ง ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบันว่าจะตัดสินใจส่งผู้สมัครอย่างไร ซึ่งตนพร้อมอยู่แล้ว เพราะบ้านเกิดอยู่ที่ จ.พิษณุโลก ส่วนปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ จ.นนทบุรี แต่เรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ดังนั้นจึงสามารถลงสมัคร สส.ได้หลายพื้นที่ แต่ถ้าไม่มีการยุบพรรค ก็จะไม่มีการเลือกตั้งซ่อม ทำให้ต้องรอการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2570 ซึ่งในช่วง 3 ปีจากนี้ ตนจะต้องทำให้พรรคเห็นว่าพร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนได้ใน 77 จังหวัด เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เมื่อถามว่า ด้วยฝีปากของนายมงคลกิตติ์ พร้อมทำหน้าที่ตอบโต้รัฐบาลหรือไม่ นายมงคลกิตติ์กล่าวว่า ตอบโต้ได้ทุกรูปแบบอยู่แล้ว เพราะขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีผลงานที่ชัดเจน นอกจากเรื่องการพานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับบ้าน ซึ่งทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังไม่มีผลงานอะไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จสิ้นการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแล้ว นายมงคลกิตติ์ได้พบกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับโค้งตัวไหว้นายจุรินทร์ ก่อนที่ทั้งสองจะถ่ายรูปร่วมกันและโชว์บัตรสมาชิกพรรคของนายมงคลกิตติ์ต่อสื่อมวลชน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง