ผวาซื้องูเห่ายกรัง ‘ชัยธวัช’ แฉพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาลติดต่อสส.ก้าวไกลเยอะมาก

มหกรรมซื้องูเห่า! "ชัยธวัช" ปูดพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาลติดต่อ สส.ก้าวไกลเยอะมาก หวังดึงเข้าพรรค แต่ไม่มีการกำชับลูกพรรค เพราะถือเป็นการไม่ให้เกียรติกัน ปฏิเสธเทกโอเวอร์พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ยังมั่นใจก้าวไกลไม่ถูกยุบ "สรวงศ์" ยันไม่กระทบรัฐบาล ปฏิเสธทาบประชาธิปัตย์เข้า ครม. มี 314 เสียงเพียงพอแล้ว "รทสช." ทำบุญครบรอบ 2 ปี "พีระพันธุ์" ย้ำเป้าหมาย เป็นพรรคที่ไม่แสวงหาอำนาจ

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 นายชัยธวัช ตุลาธน  สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าว สส.พรรคก้าวไกล  ย้ายสังกัดไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า เรื่องนี้พูดกันได้ แต่เรื่องยังไม่เกิด และที่ผ่านมาต้องเรียนตามตรงว่า มีความพยายามจากหลายพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาล ที่จะติดต่อกับสมาชิกของพรรคก้าวไกลเยอะมาก เพื่อหวังจะดึง สส.ก้าวไกล หรือที่เรียกว่าซื้องูเห่า และจนถึงวันนี้ตนก็ยังมีความมั่นใจใน สส.ของพรรคก้าวไกล ว่าจะเคารพกับความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้ อย่างไรก็ตาม เป็นการพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิด ทั้งนี้ วันที่ 7 ส.ค. ตนก็ยังมั่นใจว่าพรรคก้าวไกลจะชนะคดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องมีการกำชับ สส.ว่าอย่าให้มีงูเห่าหรือไม่ หัวหน้าพรรคก้าวไกลตอบว่า ไม่ต้องกำชับ เพราะตนสื่อสารในพรรคว่าเราต้องให้เกียรติเพื่อนร่วมงานทุกคน อย่าไปทำให้เกิดบรรยากาศจับจ้องจับผิดว่าใครจะเป็นงูเห่า หรือจะย้ายพรรค   ซึ่งเป็นบรรยากาศไม่ดีในการทำงาน และไม่เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน จึงไม่มีการไปกำชับ ทั้งนี้  สส.ในพรรคไม่มีการอ่อนไหว เพราะกำลังใจดีและยังเดินหน้าทำงานตามแผนงานเป้าหมายที่วางไว้

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่คนของพรรคก้าวไกลไปคุยกับพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลเพื่อเทกโอเวอร์นั้น  นายชัยธวัชกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีความชัดเจนว่าใครเป็นคนไปคุย แต่ตนคิดว่าตอนนี้คนพยายามไปโฟกัสว่าหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค. ไม่เป็นผลดีต่อพรรคก้าวไกล โดยกฎหมาย  สส.ก็ต้องไปหาพรรคสังกัดใหม่ บางคนก็คิดข้ามไปล่วงหน้า ทั้งแกนนำพรรครุ่นใหม่ พรรคใหม่จะเป็นอย่างไร ซึ่งตนย้ำว่าสิ่งที่อยากให้โฟกัสคือเนื้อหาในคำวินิจฉัยในวันดังกล่าวจะเป็นอย่างไร  และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร

"ผมอยากให้ติดตามว่าเหตุและผล หลักกฎหมายคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ และจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเฉพาะพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่จะส่งผลต่อการเมืองไทยโดยรวมในอนาคตด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าพรรคก้าวไกล"

ถามว่า หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ หายไป 1 พรรค จะส่งผลกระทบต่อภาพทางการเมืองหรือไม่ หัวหน้าพรรคก้าวไกลตอบว่า ตนหมายความว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องอนาคตของพรรคก้าวไกลอย่างเดียว แต่จะเกี่ยวพันกับการใช้หรือตีความกฎหมาย รวมถึงการให้ความหมายกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าเรื่องพรรคก้าวไกลหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง

"ผมคิดว่านัยความสำคัญของคำวินิจฉัยเป็นเรื่องใหญ่มาก จึงไม่อยากให้มองไปเฉพาะแค่เรื่องพรรคก้าวไกล หรือมองข้ามช็อตไปแล้วว่าในอนาคตพรรคใหม่จะเป็นอย่างไร และตนเชื่อว่าในข้อต่อสู้ทางข้อเท็จจริงและทางกฎหมายของพรรคก้าวไกลมีน้ำหนักพอที่ศาลจะรับฟัง" นายชัยธวัชกล่าว

ด้านนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล วันที่ 7 ส.ค. จะมีผลอะไรกับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ว่า อย่างแรกที่ต้องเรียนให้ทราบคือ ส่วนตัวหวังว่าพรรคก้าวไกลคงไม่ถูกยุบพรรค พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นกรณีอะไร แต่สุดท้ายขึ้นกับคำวินิจฉัยของศาล หากผลคำวินิจฉัยออกมาเป็นลบต่อก้าวไกล

ปัดดึง ปชป.ร่วมรัฐบาล

"ส่วนตัวมองว่าไม่มีอะไรกระทบกับรัฐบาล แม้มีข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคอาจมี สส.พรรคก้าวไกลไปร่วมหากถูกยุบพรรค แต่ก็ไม่มีประเด็นต้องปรับคณะรัฐมนตรีหรือกระทบรัฐบาล เพราะนายกฯ เพิ่งปรับ ครม.ไม่นาน และการที่พรรคร่วมจะมี สส.มากขึ้นหรืออะไรก็แล้วแต่ เราคงต้องรอหลังเหตุเกิดขึ้นแล้วดีกว่า"

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากที่สุดตัวเลขพรรคร่วมมีการขยับ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโควตารัฐมนตรีหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการพูดคุยหลังเกิดสิ่งนั้นขึ้น แต่ยืนยันกรณีนี้ไม่กระทบพรรคร่วม

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการดึงพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เข้าร่วมรัฐบาล นายสรวงศ์ตอบว่า จากที่ฟังนายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรค ปชป. ก็บอกยังไม่มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ และในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ก็ยืนยันไม่มีการพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าว และจากกระแสข่าวที่ออกมา มีการพูดไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรี หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าร่วม มองว่าเป็นการดูถูกนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เกินไป เพราะท่านพูดชัดเจนยังไม่มีการดึงใครเข้าร่วม   วันนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วไปตีข่าวว่าจะปรับโน้นปรับนี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นการพูดลอยๆ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย  ยืนยันไม่มีการพูดคุยกับพรรคประชาธิปัตย์เพื่อให้เข้าร่วมรัฐบาล

เมื่อถามว่า มีความจำเป็นต้องดึงพรรค ปชป.เข้ามาหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นอะไร เพราะรัฐบาลมีเสียง 314 ถือว่าเพียงพออยู่แล้ว และในการอภิปรายในสภา สส.พรรค ปชป.ยังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลต่อเนื่อง เช่นเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต แล้วจะมาร่วมกันได้อย่างไร หากพูดว่าจะมาในส่วนของผู้บริหารปัจจุบันที่ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล พูดแบบนั้นคงไม่ได้ การจะเอาพรรคการเมืองใดมาร่วมแล้วมีอีกส่วนหนึ่งยังด่ารัฐบาล จะเป็นฝ่ายค้านในพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่ได้    จึงมองว่าข่าวที่ออกมามันไกลเกินไป เพราะการจะร่วมรัฐบาลไม่สามารถมาเฉพาะกลุ่มได้

เลขาธิการพรรคเพื่อไทยยังให้สัมภาษณ์กรณีนายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้เลื่อนลำดับเป็น สส.บัญชีรายชื่อ หลัง น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม ลาออกจากการเป็น สส.บัญชีรายชื่อว่า  ต้องขอแสดงความยินดีกับนายก่อแก้ว เพราะถือเป็นกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทยมายาวนาน เป็นกองหลังของพรรคที่อยู่กับพรรค ทำงานอย่างเข้มข้นมาโดยตลอด เมื่อได้เข้าสภาเชื่อมั่นว่าจะทำหน้าที่ สส.ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสาเหตุที่ น.ส.สุดาวรรณลาออกจากการเป็น สส. เนื่องจากการทำหน้าที่ รมว.วัฒนธรรม ไม่สามารถทุ่มเวลาให้กับงานฝ่ายนิติบัญญัติได้เต็มที่ จึงลาออกเพื่อให้คนที่สามารถเข้ามาทำที่ได้อย่างเต็มที่ ได้เข้ามาทำงานในสภา แม้จำนวน สส.ของเราจะเท่าเดิม แต่มั่นใจการทำงานจะดีกว่าเดิมแน่นอน

ปิดปาก 'สามารถ'

นายสรวงศ์กล่าวว่า สำหรับรัฐมนตรีที่ยังเป็น สส.อยู่ ไม่ว่าจะเป็นนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม และนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย พรรคก็ไม่ได้กดดัน เพราะเชื่อว่าท่านเหล่านั้นสามารถจัดสรรเวลาและสามารถทำทั้งสองหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มอบหมายให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค เรียกนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ มาทำการพูดคุยถึงพฤติกรรมที่แสดงความคิดเห็นที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลนั้น ในประเด็นดังกล่าว ได้มีการพูดคุยตามที่เป็นกระแสข่าวจริง โดยมีนายสันติ นายสามารถ และตนได้พูดคุยทำความเข้าใจเป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ นายสันติได้ตักเตือนนายสามารถให้เข้าใจมารยาททางการเมือง เพราะถึงแม้ว่าการแสดงความคิดเห็นของนายสามารถจะเป็นเรื่องส่วนตัว และเป็นไปตามสิทธิของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่การแสดงความคิดเห็นนั้นมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งนายสามารถได้กล่าวขอโทษ และยืนยันที่จะหยุด ยุติการกระทำทุกอย่างที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการร่วมรัฐบาลทันที ซึ่งได้มีการนำเรียนให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคทราบแล้ว และจะแจ้งให้กรรมการบริหารพรรค รวมถึง สส.และสมาชิกพรรครับทราบในโอกาสต่อไป 

"พรรคเราปกครองดูแลลูกพรรคเหมือนครอบครัวเดียวกัน เมื่อผิดหรือพลาดไปก็ตักเตือนกัน ทำให้ถูกต้อง แต่ถ้ายังดื้อดึง ก็จะมีมาตรการตามระเบียบของพรรคต่อไป ผมยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีแตกแยก โดยทุกคนให้ความเคารพท่านหัวหน้าพรรคมาโดยตลอด" พล.ต.ท.ปิยะกล่าว

พล.ต.ท.ปิยะกล่าวว่า ก่อนที่ พล.อ.ประวิตรจะเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส ท่านไม่ได้ห่วงถึงปัญหาดังกล่าว บอกเพียงแค่ว่าเป็นเรื่องในบ้าน และมอบหมายให้นายสันติจัดการให้เกิดความเรียบร้อย เรื่องที่ห่วงมากกว่าก็คือปัญหาความยากจน ปากท้องชาวบ้าน และปัญหาปลาหมอคางดำ จึงได้ให้ สส.และแกนนำในพื้นที่ร่วมดำเนินการกับกระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนนโยบาย 7 มาตรการปราบปลาหมอคางดำให้เป็นผล ส่วนอะไรที่ทำได้ก่อนก็ให้รีบช่วยชาวบ้าน เช่น เปิดตลาดรับซื้อปลาหมอคางดำราคาสูง เพื่อสร้างแรงจูงใจในการออกล่าจับปลามาขาย การแปรรูปอาหารจากปลาหมอคางดำ จะทำให้ปัญหาลดลงเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล 

“ในฐานะที่ท่านหัวหน้าพรรคเป็นประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สิ่งที่ท่านเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้คือ ประเทศไทยจะได้เหรียญทองกี่เหรียญในกีฬาโอลิมปิก 2024 ปีนี้ ซึ่ง พล.อ.ประวิตรได้เดินทางไปให้กำลังใจนักกีฬาระหว่างวันที่ 2-5 ส.ค. รวมทั้งอยากให้พี่น้องชาวไทยช่วยส่งกำลังใจเชียร์นักกีฬาไทยชิงชัยโอลิมปิก 2024 ด้วย” พล.ต.ท.ปิยะกล่าวทิ้งท้าย

รทสช.ทำบุญพรรค

ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จัดพิธีทำบุญและทำพิธี 3 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ในโอกาสครบรอบ 2 ปี พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค นำคณะกรรมการบริหาร รัฐมนตรี สส. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และสมาชิกพรรค ร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เมื่อ 2 ปีก่อนทั้งตนและนายเอกนัฏได้ก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา โดยมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นพรรคที่ไม่เหมือนใคร คือเป็นพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและประเทศชาติ ไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่แสวงหาอำนาจ สถานะของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่เหมือนใคร เพราะได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติ ตามแนวทาง “รื้อ ลด ปลด สร้าง” และต้องขอบคุณเลขาธิการพรรค ที่ได้เป็นกำลังหลักในการทำงานทั้งภายในพรรคเอง และประสานงานภายนอกพรรคเสมอมา

เขากล่าวว่า สำหรับเป้าหมายในปีต่อไป พรรคจะขยายการทำงานให้มากขึ้น เพราะในช่วงแรกของการก่อตั้งพรรค เราเห็นปัญหาต่างๆ ของประชาชนและประเทศชาติ แต่ยังไม่มีโอกาสในการดำเนินการ แต่ปัจจุบันเราได้มีโอกาสในการทำงาน  โดยเฉพาะในกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม เราก็จะเร่งดำเนินการในการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด

นายพีระพันธุ์กล่าวต่อไปว่า ต้องขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ให้กําลังใจพรรครวมไทยสร้างชาติตลอดมา ขอให้คํามั่นว่า ทั้งตน เลขาธิการ และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ และจะแก้ไขปัญหา สร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพิ่มเติมให้กับประเทศไทยอย่างแน่นอน

ด้านนายเอกนัฏกล่าวว่า ขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ท่านหัวหน้าพรรค ตน และกรรมการบริหารพรรค มีความตั้งใจที่จะให้พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งทางพรรคต้องมีทีมงานที่มีความตั้งใจในการทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ซื่อสัตย์สุจริต และพร้อมทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชนและประเทศชาติ และขอเชิญชวนประชาชนทุกคนที่รักประเทศชาติ หากอยากให้มีพรรคการเมืองที่ดี ที่ตอบโจทย์ และทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ขอเชิญชวนมาร่วมภารกิจนี้ด้วยกันกับพรรครวมไทยสร้างชาติ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลรธน.สั่ง 'สมชาย เล่งหลัก' หยุดปฏิบัติหน้าที่สว.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต ) ผู้ร้อง ขอให้พิจารณาวินิจฉัยกร