ปชป.ทิ้งทุ่นถอนตัว! พนิตแนะแพ้ตั้งซ่อม/จุรินทร์รับได้ไม่คุ้มเสีย/หลักสี่ฟ้องนัว

โค้งสุดท้ายเลือกตั้งชุมพร-สงขลา “ประธาน กกต.” เผยทุกอย่างพร้อม “บิ๊กป้อม” ทำไก๋ ไม่มีหมัดเด็ด เข้าคูหาแล้วส่อไม่จบ “จุรินทร์” ไม่การันตีกระทบเสถียรภาพรัฐบาล “พนิต” ยุแพ้ให้ถอนตัวจากพรรคร่วม รบ. แกนนำ พปชร.ลั่น ผิดใจก็ผิดใจ สนามเมืองกรุง “เมียสิระ-อรรถวิชช์” ฟ้องกันนัว “เพื่อไทย” เย้ยคนไม่รัก “บิ๊กตู่” แล้ว

เมื่อวันที่ 14 ม.ค. มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 จ.ชุมพร และเขต 6 จ.สงขลา ในวันอาทิตย์ที่ 16 ม.ค.นี้ โดยเฉพาะการแข่งขันกันเองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองเขต

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​ กล่าวถึงความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งซ่อมทั้งสองเขตว่า เรื่องงบประมาณและบุคลากรที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง มีความพร้อมและไม่มีอุปสรรคปัญหาอะไร ส่วนเรื่องการร้องเรียนกรณียิงข่มขู่ผู้สมัครในพื้นที่ จ.ชุมพรนั้น โดยปกติจะมีการประสานไปทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในเรื่องการดูแลความปลอดภัย และในพื้นที่จะมีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยจากกระทรวงมหาดไทยมาดูแลหน่วยเลือกตั้งทุกหน่วย

นายอิทธิพรกล่าวว่า ในส่วนการไต่สวนสืบสวน ทางตำรวจให้ความร่วมมืออยู่แล้ว และในส่วนของ กกต. เมื่อมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ได้มีการแต่งตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้งลงมาปฏิบัติงานในพื้นที่ มีชุดเคลื่อนที่เร็ว ชุดหาข่าวในพื้นที่ ฉะนั้นเรื่องนี้อยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายแล้ว เชื่อว่าจะมีการป้องปรามไม่ให้มีการกระทำผิดในเขตเลือกตั้งได้

ประธาน กกต.ยังกล่าวว่า สำหรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พบว่ามีเรื่องร้องเรียน 2 เรื่องในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 ที่ จ.สงขลา ส่วนที่ จ.ชุมพร ยังไม่มีเรื่องร้องเรียน คาดทั้ง 2 แห่งจะมีผู้มาใช้สิทธิ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70

ที่หน้าศาลาประชาคม อ.สะเดา จ.สงขลา นายวีระ ยี่แพร  ผู้ตรวจการเขตตรวจการที่ 4 นางพะเยีย ศิริโชติ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดสงขลา ร่วมเดินรณรงค์โค้งสุดท้ายประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งเชิญชวนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.เขต 6 จ.สงขลา ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ โดยเขตดังกล่าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 128,518 คน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีมีหมัดเด็ดในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 ชุมพร และเขต 6 สงขลาหรือไม่ ว่า “ไม่มีหมัดเด็ด ไม่มีหรอก” เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ามีความมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งซ่อมใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรส่ายศีรษะพร้อมกับตอบว่า “ไม่รู้”

อู๊ดด้าลั่นได้ไม่คุ้มเสีย

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีพรรคร่วมรัฐบาลส่งผู้สมัคร ส.ส.แข่งขันกันเอง จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ ว่าเคยเตือนไปแล้วว่าโดยหลักถ้าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเสียที่นั่ง พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันจะไม่ส่งคนลงไปแข่ง เพราะสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นการแข่งกันเองในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้เกิดผลดีกับรัฐบาล นอกจากจะเกิดความหมางใจกันถ้ามีแข่งขันอย่างรุนแรง รัฐบาลก็ไม่ได้อะไร เพราะได้ที่นั่งเท่าเดิม ที่เสียไปเป็นของพรรคร่วม จึงได้ไม่คุ้มเสีย

 “ทั้งหมดนี้ผมได้พูดไปแล้ว และผมไม่ไปตำหนิใคร ไม่ไปตำหนิพรรคที่เขาส่ง เพราะว่าเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าต้องการดำเนินการทางการเมืองแบบนี้ ก็สุดแล้วแต่ เพราะเราจะไปห้ามเขาไม่ได้ แต่มันจะนำมาสู่คำถามที่ถามนี้ แล้วสุดท้ายมันจะไปกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ การทำงานร่วมกันหรือไม่ ผมตอบล่วงหน้าไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต” นายจุรินทร์ระบุ

เมื่อถามว่า เคยสอบถามบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ หรือไม่ นายจุรินทร์ตอบว่า ไม่ขอระบุตัวบุคคล แต่ตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ เคยพูดคุยกันแล้วว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลเสียที่นั่งจะไม่ส่งลงไปแข่งกันเอง ถ้าไปส่งกับฝ่ายค้านอันนั้นธรรมดาไม่มีปัญหา แต่ว่าสุดท้ายข้อตกลงนี้ถูกละเมิดไป ตนไม่ได้ตำหนิ แต่เล่าข้อเท็จจริงให้ฟัง

ส่วนที่มีการหาเสียงพูดถึงคนรวยคนจน จนทำให้เกิดการตอบโต้ไปมาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองนั้น หัวหน้าพรรค ปชป.มองว่า เป็นเรื่องปกติของความเห็นทางการเมือง ที่เมื่อเห็นไม่ตรงกันก็แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันได้ไม่ว่าฝ่ายไหน เมื่อฝ่ายหนึ่งบอกว่าเงินสำคัญ อีกฝ่ายหนึ่งบอกอุดมการณ์น่าจะสำคัญกว่า ก็ถกเถียงกันไป ประชาชนได้ประโยชน์ว่าสุดท้ายควรจะเลือกอะไร

                    ถามอีกว่า เหตุกระทบกระทั่งกันในการเลือกตั้งอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่อุบัติเหตุทางการเมืองเร็วขึ้นหรือไม่ หัวหน้าพรรค ปชป.บอกว่า ตอบไม่ได้ อย่างที่ตอบไปแล้วว่าเราไม่สามารถคาดการณ์อะไรล่วงหน้าได้

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ปชป. ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประสานงานส่วนกลาง กล่าวว่า การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ทั้งเขต 1 จ.ชุมพร และเขต 6 จ.สงขลา น่ากังวลจนวินาทีสุดท้าย คือการหาเสียงที่ผิดไปจากเจตนารมณ์ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การใช้อำนาจรัฐบีบบังคับเจ้าหน้าที่ จนถึงเวลานี้ยังมีการใช้เจ้าหน้าที่จากนอกพื้นที่มาทำงานเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งอย่างหนัก มีการใช้คำพูดปราศรัยหมิ่นน้ำใจชาวบ้าน ดูถูกคนจน เป็นสิ่งที่คนใต้รับไม่ได้มากที่สุด

นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป. โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวตอนหนึ่งว่า ทั้ง 2 พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ดั้งเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ ตนเชื่อว่ามีโอกาสจะชนะสูง แต่ถ้าการเลือกตั้งนี้ผลออกมาตรงกันข้าม ตนแทบจะนึกภาพไม่ออกจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งผลลัพธ์นี้มีส่งผลกับพรรคแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและการเลือกตั้งใหญ่ในอนาคต ทั้งนี้ ตนในฐานะสมาชิกพรรคคนหนึ่ง และถ้าตนเป็นผู้บริหารพรรค อาจต้องถามตัวเองว่าเราทำผิดพลาดอะไรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงทำให้ประชาชนในพื้นที่นั้นพิพากษาไม่ให้เราชนะ

 “แล้วถ้าวันนี้เกิดผลลัพธ์แบบนี้ขึ้นมาจริงๆ ในฐานะ ส.ส.และสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์เป็นเวลา 20 ปี ผมมีข้อเสนอแนะ พรรคเราต้องถอนตัว เพื่อกลับสู่พื้นฐานของเราในการเป็นประชาธิปไตย และให้ความสำคัญในผลประโยชน์ประชาชนเป็นอันดับแรก” นายพนิตระบุ

ซัดสืบทอดมรดกครอบครัว 

ขณะที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค พปชร. ออกมาตอบโต้ถึงกรณีมีการพาดพิงว่า พปชร.เป็นพรรคเฉพาะกิจ ว่าวันนี้กลุ่มการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด อยู่มานานที่สุด กลับหวาดกลัว หวาดระแวง พรรคการเมืองที่ตัวเองบอกว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจ จนต้องงัดสรรพกำลัง ทั้งข่มขู่ สร้างวาทกรรมถามหามารยาททางการเมือง

“แน่นอนว่าวันนี้การเมืองภาคใต้กำลังเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จากที่ผ่านมาประชาชนต้องทนกับความผิดหวังซ้ำซากผ่านการเมืองแบบสืบทอดมรดกครอบครัว ซึ่งไม่เคยนำพาความเจริญมาสู่ภาคใต้ได้เลย” นายสัณหพจน์กล่าว

 นายอนุมัติ อาหมัด อดีต ส.ว.สงขลา และแกนนำพรรค พปชร. ปราศรัยตอนหนึ่งที่ จ.สงขลาเมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 ม.ค. ว่า มีคนไปขอ พล.อ.ประวิตร ว่าอย่าส่งคนมาลงเลือกตั้ง พรรคการเมืองบางพรรคใช้วาทกรรมว่าควรรักษามารยาทของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ควรจะส่ง ตนถามว่าควรเป็นมารยาทกับพรรคหรือควรมีมารยาทกับประชาชน แบบนี้ตนทำใจไม่ได้ ขัดใจก็ต้องยอม ผิดใจก็ผิดใจ ให้ไม่ได้

สำหรับบรรยากาศการหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้าย ตลอดทั้งวันของวันศุกร์ที่ผ่านมา พรรคการเมืองต่างๆ ต่างระดมแกนนำ สมาชิกพรรค ช่วยผู้สมัคร ส.ส.หาเสียงอย่างเต็มที่ โดยที่ตลาดชุมชนคลองแงะ ต.พังลา อ.สะเดา จ.สงขลา น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรค ปชป. และ ส.ส.พรรค ปชป. ลงพื้นที่หาเสียงขอคะแนนเสียงให้กับ น.ส.สุภาพร กำเนิดผล ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรค ปชป.

น.ส.จิตภัสร์กล่าวว่า ปชป.เป็นสถาบันทางการเมืองที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองหลายคนในหลายจังหวัด แต่ที่ จ.สงขลายังไม่มี ส.ส.ผู้หญิง นี่คือโอกาสของคนสงขลาที่จะสร้างตำนานใหม่ในทางการเมืองที่จะมีผู้แทนหญิงของประชาชนคนแรกของจังหวัด

ที่ จ.สงขลา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมแกนนำพรรค ร่วมรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 จ.สงขลา ให้กับนายธิวัชร์ ดำแก้ว ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ก.ก. โดยนายพิธา กล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้งซ่อมในสนามนี้ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหาเสียง ตนไม่มีความกังวลใจใดๆ เพราะมีความมั่นใจว่านายธิวัชร์คือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้าไปเป็นผู้แทนให้กับประชาชน

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ก.ก. กล่าวว่า การปราศรัยของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรค พปชร. ที่ จ.สงขลาที่ผ่านมา เข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง 2561 มาตรา 73 (1) เรื่องการจูงใจ สัญญาว่าจะให้ ผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างชัดเจน กกต.จังหวัดสงขลา จำเป็นต้องเร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

วันเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 กทม. กรณีนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า และผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 ระบุว่า พรรค พปชร. ควรส่งคนที่มีคุณภาพลงสมัคร จนนางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 9 พปชร.ร้องต่อ กกต.ว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี

‘พปชร.-กล้า’ ฟ้องกันนัว

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมายพรรคกล้า เข้ายื่นคำร้องต่อนายสำราญ ตันพานิช ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายกับนางสรัลรัศมิ์ กรณีใส่ร้ายด้วยความเท็จ จูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม

นายณัฐนันท์เปิดเผยว่า มาร้องเรียนในกรณีที่นางสรัลรัศมิ์ได้พูดพาดพิงนายอรรถวิชช์ โดยมีข้อความไม่ตรงกับความจริง กล่าวหานายอรรถวิชช์ว่าดูถูกเพศแม่ และพูดไม่ตรงความจริงว่าดูถูกสิทธิผู้เลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องยื่นให้ กกต.กทม.ตรวจสอบ เพราะทำให้นายอรรถวิชช์เสียหาย และหลังจากนี้ถ้ายังมีดรามาทางการเมืองอีก หรือมีการนำเรื่องนี้ไปขยายความอีกฝ่ายกฎหมายจะดำเนินการทางคดีให้ถึงที่สุด

 ด้านนายสำราญกล่าวว่า หลังได้รับคำร้องแล้วตามระเบียบสืบสวนไต่สวนของกกต. ผอ.กกต.จะดำเนินการตรวจสอบคำร้อง พยานหลักฐานประกอบคำร้องว่าเพียงพอที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ แต่ไม่ว่า ผอ.กกต.จะมีความเห็นรับหรือไม่รับคำร้องก็จะเสนอต่อ กกต.ภายใน 24 ชั่วโมง

ผอ.กกต.กทม.กล่าวด้วยว่า นอกจากประเด็นที่ผู้สมัครพรรคกล้าและพรรค พปชร.ร้องกันเองแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีเรื่องร้องเรียนอื่นเข้ามา ที่ระบุกันว่ามีการซื้อขายเสียง ก็ยังเป็นแค่การกล่าวอ้าง เรามีชุดป้องปราม หาข่าว ผู้ตรวจการเลือกตั้ง ร่วมทำงานกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 และตำรวจท้องที่ในเขตเลือกตั้งคอยดำเนินการตรวจสอบ

เมื่อถามว่า หากผู้สมัครนำนโยบายของรัฐบาล เช่น นโยบายคนละครึ่ง ไปขึ้นในป้ายหาเสียงของตนเองทำได้หรือไม่ นายสำราญชี้แจงว่า ไม่ได้ เพราะตามระเบียบ กกต. เกี่ยวกับการจัดทำป้ายหาเสียง กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าป้ายหาเสียงผู้สมัครสามารถประกอบด้วยภาพผู้สมัคร และภาพโลโก้พรรคการเมือง

เย็นวันเดียวกัน ที่ซอยพหลโยธิน 34 ย่านเสนานิคม 2 พรรคเพื่อไทยจัดเวทีปราศรัยช่วยนายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 9 พรรคเพื่อไทย โดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และประธานวิปฝ่ายค้าน ปราศรัยช่วงหนึ่งว่า ถ้าผู้สมัครเราชนะ รัฐบาลจะจิตตก จะเป็นการบอกว่าคนกรุงเทพฯ ไม่รักคุณ ไม่เอาคุณแล้ว จะส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาล วันที่ 30 ม.ค. พรรคร่วมจะถอนตัวจากรัฐบาล.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง