“บิ๊กอ้วน” แสลงชื่อ “พิศาล” ตัดบทเมื่อถูกจี้ถาม ตอบตามสูตรเดิมเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ขับ ไม่ไล่ เพราะยังไม่ถูกศาลชี้ “บิ๊กต่าย” ลั่นประสานอินเตอร์โพลออกหมายแดงแล้ว “ไทยสร้างไทย” ออกแถลงการณ์จี้อุ๊งอิ๊งค์ตามล่าหัว เตือนระวังเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการตามตัว พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ในคดีสลายการชุมนุมที่ตากใบว่า ตอนนี้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งศาลออกหมายจับแล้ว และรัฐสภาก็บอกไปแล้วว่าเฉพาะเวลาที่ประชุมจะคุ้มครองตามเอกสิทธิ์ สส. หลังจากนั้นก็ว่าไปตามกฎหมาย ซึ่งได้เรียกผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาพูดคุยแล้ว ก็สั่งให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งท่านก็ได้สั่งการตำรวจทุกหน่วยทั่วประเทศให้จับกุมมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างบ้าน พล.อ.พิศาล ก็เข้าไปตรวจค้น ยังไม่พบอะไร ดังนั้นตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครปล่อยปละละเลย ส่วนผลจะเป็นอย่างไร มันก็ต้องเป็นไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เมื่อถามว่า มันมีข้อเสนอว่าเพื่อกันพรรค พท.ออก ควรให้ พล.อ.พิศาลลาออกหรือพรรคขับออก นายภูมิธรรมกล่าวว่า ท่านยังไม่ได้ถูกตัดสินว่าเป็นผู้มีความผิด เพราะฉะนั้นในแง่ของพรรคน่าจะทำได้ยาก ส่วนท่านจะตัดสินใจรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบอย่างไร เป็นดุลพินิจของตัวท่านเอง ส่วนที่บอกว่าพรรคถูกลากเข้าไป ก็พูดเกินเลยไป ทุกคนก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล และเข้าใจว่าทำตามกฎระเบียบ ดังนั้น อย่าลากเข้าไปเป็นประเด็นทางการเมือง มีเรื่องเยอะอยู่แล้ว บ้านเมืองกำลังแย่อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า พล.อ.พิศาลลาไปพักรักษาตัวอยู่ต่างประเทศ และจะกลับมา 30 ต.ค. ซึ่งคดีขาดอายุความไปแล้ว นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องที่ พล.อ.พิศาลลา ถ้าสภาว่าก็ว่าไปตามสภา
เมื่อถามว่า หากกลับมาในตอนที่ขาดอายุความไปแล้ว พรรคจะให้เป็น สส.อยู่ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า รอให้เรื่องเกิดขึ้นก่อน ทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการ ก่อนตัดบทว่า “มีประเด็นอื่นไหมครับ เพราะว่าประเด็นนี้ก็มีแค่นี้แหละ”
ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการติดตามตัวผู้ต้องหาคดีตากใบที่กำลังหมดอายุความวันที่ 25 ต.ค. ซึ่งมีผู้ต้องหา 2 หลบหนีออกนอกประเทศว่า เมื่อมีหมายจับ ตำรวจมีหน้าที่ 2 อย่าง คือด้านธุรการและปฏิบัติ โดยในด้านธุรการคือการประกาศสืบจับ และการมีหนังสือเวียนแจ้ง โดยตำรวจภูธรภาค 9 ทำครบแล้ว และสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีการออกหนังสือให้ทุกกองบัญชาการที่พบว่าผู้ถูกออกหมายจับมีภูมิลำเนาได้ดำเนินการเชิงรุกและตรวจค้น ซึ่งเราไม่ได้ปล่อยหรือละเว้นใคร ไม่ว่าจะเป็นอดีตข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงก็ตาม เราก็จะดำเนินการเหมือนกันหมด
“ได้ประสานตำรวจกองการต่างประเทศ (ตท.) เพื่อออกหมายแดงประสานอินเตอร์โพล ซึ่งเราทำครบถ้วนทุกอย่างแล้ว ส่วนการหลบหนีเป็นช่องทางที่ผู้กระทำผิดทำเพื่อไม่ให้ถูกจับ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าผู้ต้องหาใช้ช่วงจังหวะไหนหลบหนี แต่เราก็ทำเต็มที่ พร้อมย้ำหน่วยปฏิบัติที่มีหน้าที่ตรวจค้นตั้งแต่วันแรก ต้องมีการสืบสวนต่อเนื่องและติดตามตรวจค้นทั้งหมด” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐระบุ
ถามว่า ผู้ต้องหาอีก 2 คนที่รับราชการอยู่ในขณะนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า ก็ยังหลบหนีอยู่ โดยทุกกรณีเรามีให้ 2 ทาง ถ้าหลบหนีเราก็ตามจับ แต่ถ้ามอบตัวเราก็ยินดี ถือเป็นสิทธิ์ที่จะมอบตัวได้ และก็ได้ให้นโยบายกับตำรวจภูธรภาค 9 ไว้แล้ว
เมื่อถามว่า เหลือเวลาอีก 14 วันก่อนหมดอายุความ มั่นใจว่าจะสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้หรือไม่ รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า หากถามว่ามั่นใจไหม คนทำผิดย่อมหลบหนี เป็นหน้าที่เราที่ต้องสืบสวนและติดตาม ซึ่งเราพยายามจับให้ได้ ตำรวจเราก็ต้องทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ไว้ และเราก็พยายามอย่างเต็มที่
ขณะที่ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อกรณีคดีตากใบ โดยเสนอว่า 1.รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี ควรแสดงความจริงใจ กระตือรือร้นในการติดตามตัวจำเลยมาเข้ากระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล ก่อนหมดอายุความในวันที่ 25 ต.ค.2567 เพราะอาจเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวให้ผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นได้ อันจะไม่เป็นผลดีต่อประชาชน ประเทศชาติ และรัฐบาลเอง
“การมีสัมพันธ์อันดีกับประเทศอังกฤษและประเทศญี่ปุ่นดังกล่าว สามารถเจรจาส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ตามกระบวนการกรณีมีสนธิสัญญา ส่วนกรณีไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน การเจรจาทางการทูตก็สามารถคลี่คลายปัญหาได้ระดับหนึ่ง” แถลงการณ์ระบุ
2.นายกฯ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการขอโทษต่อสาธารณะ โดยแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ความไม่สงบในคดีตากใบ ถือได้ว่าเป็นการเยียวยาทางด้านจิตใจ เพราะคดีตากใบเป็นประเด็นที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของชาติ รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับชาติก่อนพรรคและ บุคคล แม้ในส่วนของพรรคและบุคคลจะใกล้ชิดกันขนาดไหนก็ตาม ชาติต้องมาก่อน ซึ่งก็จะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศและเอื้อต่อการแก้ไขปัญหาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม.ตั้ง‘โต้ง’19พ.ย. ดี๊ด๊าคุมธปท.ฝ่าเสียงต้าน สถิตย์การันตีล้วงลูกไม่ได้
"กิตติรัตน์" ดี๊ด๊า! แชร์ข่าวได้นั่ง "ปธ.บอร์ด ธปท." ระบุทุกเสียงสนับสนุนคือกำลังใจ
นัดถกบอร์ดศก. ปล่อยกู้7หมื่นล. สางหนี้-ซื้อบ้าน
นายกฯ นัดถก "บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ" ครั้งแรก 19 พ.ย.นี้
เรียก‘พื้นที่อ้างสิทธิ’เลิกใช้‘ทับซ้อน’
เลขาฯ กฤษฎีกาชี้ชัดยกเลิก "เอ็มโอยู" ฝ่ายเดียวได้แต่ไม่ควร
รบ.โต้ขัดแย้งเขากระโดง คลอดพรฎ.แก้พิพาทที่ดิน
แกนนำรัฐบาลประสานเสียงปมที่ดินเขากระโดง ไม่สร้างขัดแย้ง "เพื่อไทย-ภูมิใจไทย"
อิ๊งค์อยู่ครบเทอม พท.ชิ่งก๊วนมาม่า
“นายกฯ อิ๊งค์” ลั่นกลางวงประชุมทูตภาคพื้นอเมริกา บอกรัฐบาลมั่นใจอยู่ครบเทอม
อสส.ชงศาลรธน.คดีล้มล้างฯ
อัยการสูงสุดส่งเอกสารปม “ธีรยุทธ” ร้อง “ทักษิณ-เพื่อไทย” ครอบงำ-ล้มล้างให้ศาลแล้ว