"ทักษิณ" ดอดเงียบแต่เช้ารายงานตัวศาลอาญาหลังกลับจากมาเลย์ ขณะที่เลขาฯ ป.ป.ช.อุบข้อมูล "เสรีพิศุทธ์" ปมชั้น 14 เล็งเรียกบุคคลที่พาไปพบด้วย พร้อมง้างดาบมาตรการทางกฎหมาย "สตช.-รพ.ตำรวจ" รีดเวชระเบียน ขณะที่ 44 สส.เข้าชื่อแก้ ม.112 คอพาดเขียง ป.ป.ช.ติดเครื่องจ่อแจ้งข้อหา ชี้คดีปิดจบปีนี้ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
เมื่อวันพุธ เวลา 08.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยคดีหมายเลขดำ อ 1860/2567 ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ได้เดินทางมารายงานตัวต่อศาลอาญา ภายหลังกลับจากเดินทางไปประชุมที่มาเลเซีย ซึ่งศาลอาญามีคำสั่งเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา อนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรในระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ.2568 ตามเหตุผลเเละความจำเป็นที่นายทักษิณยื่นคำร้องขอ โดยให้วางหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาท และให้มารายงานตัวภายใน 3 วัน (4-6 ก.พ.) นับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้นายทักษิณเดินทางมาโดยรถเบนซ์ หมายเลขทะเบียนรถ ธษ 267 คันเดิมที่เคยมาศาลอาญา โดยมีนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เดินทางมาด้วย ซึ่งการรักษาความปลอดภัยในวันนี้เป็นไปตามปกติ ไม่ได้เเน่นหนาเหมือนช่วงวันนัดไต่สวนขอออกนอกประเทศ
สำหรับวันนี้ นายทักษิณมาถึงศาลช่วงเวลาประมาณ 08.30 น.เศษ จากนั้นเดินขึ้นทางประตูหน้าทางเข้าศาลอาญา เข้าไปเซ็นชื่อรายงานตัว ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที จากนั้นได้เดินทางกลับ โดยตามขั้นตอนเมื่อมีการรายงานตัวภายหลังเดินทางกลับเเล้ว ก็สามารถรับเงินที่วางไว้เป็นหลักประกันจำนวน 5 ล้านบาทกลับได้
ที่โรงแรมรัษฎา อ.เมืองฯ จ.ตรัง นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีสอบสวนการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่า ป.ป.ช.ได้มีการไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องพยานบุคคลและเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเมื่อ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้เชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มาให้ข้อเท็จจริง เพราะเป็นพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางคณะกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนได้ลงไปร่วมไต่สวนด้วย ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ระบุว่า จะไปร่วมตรวจสถานที่โรงพยาบาลตำรวจด้วยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อดำเนินการตามที่ให้ข้อมูลไว้
อุบข้อมูลเสรีพิศุทธ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า การให้ถ้อยคําของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด นายสาโรจน์กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่ให้มาต้องนำไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ว่าสอดคล้องต้องกันหรือไม่ และหากท่านไปชี้จุดยืนยันที่สถานที่ จะทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น แต่ต้องดูพยานหลักฐานต่างๆ ประกอบกัน
เมื่อถามอีกว่า นอกจากการให้ปากคำแล้ว มีการมอบพยานหลักฐานอื่นๆ ด้วยหรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า ไม่ทราบว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ให้ถ้อยคำหรือมอบหลักฐานอะไร เพราะเป็นเรื่องของคณะไต่สวน
เมื่อถามว่า การทำคดีนี้ยากหรือไม่ เนื่องจากเป็นผู้มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงในแวดวงการเมือง นายสาโรจน์กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ ป.ป.ช.ทำอยู่แล้ว โดนเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงหรือทางการเมือง เรามีหน้าที่ต้องทำอยู่แล้ว อาจจะมีข้อขัดข้องบ้าง แต่เราต้องดำเนินการตามหน้าที่ และอาจต้องใช้เวลาสักนิดหนึ่งในการได้พยานหลักฐานแต่ละส่วน
เมื่อถามถึงการวางกรอบเวลาไว้เท่าไหร่ นายสาโรจน์กล่าวว่า มีกรอบเวลาตามกฎหมายในเรื่องที่เร่งรัด แต่ขึ้นอยู่กับความครบถ้วนของพยานหลักฐาน หากครบสมบูรณ์ ป.ป.ช.สามารถพิจารณาได้ ไม่ต้องถึงเวลาตามที่กฎหมายกำหนด
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะมีใครมาให้ถ้อยคำเรื่องชั้น 14 อีกหรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า คงเป็นบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวข้อง หรือมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ส่วนจะเป็นใครนั้น ตนตอบไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจของคณะไต่สวน
เมื่อถามว่า จะเรียกบุคคลที่พา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไปพบกับนายทักษิณมาให้ข้อมูลด้วยหรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า หากเป็นพยานที่ยึดโยงกับพยานปากอื่นๆ และหากการไต่สวนเห็นว่ามีความจำเป็น ก็ต้องเรียกมาให้ข้อมูล เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าสิ่งที่พยานให้ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นอำนาจของคณะไต่สวน เมื่อถามย้ำว่าขณะนี้ยังไม่มีรายชื่อบุคคลที่จะมาให้ข้อมูลเพิ่มใช่หรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า เท่าที่ทราบก็มีการสอบ แต่ไม่ทราบว่าในรายละเอียดมีใครบ้าง แต่ในฐานะเลขาธิการ ป.ป.ช. ตนทราบในเรื่องขั้นตอน แต่ไม่สามารถรู้และแทรกแซงเนื้อหาได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องเชิญนายทักษิณมาให้ถ้อยคำด้วยหรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะหากมีพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจน หรือต่อให้ไม่มีพยานหลักฐานอะไรเลย ก็ไม่มีเหตุไปเชิญ แต่ขึ้นอยู่กับคณะไต่สวน
จ่อรีดเวชระเบียน
เมื่อถามว่า ได้รับความร่วมมือจาก รพ.ตำรวจ ในการขอเอกสารหรือเวชระเบียนบ้างหรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า เราเคยขอไปในชั้นตรวจสอบ แต่ยังไม่ได้มา ซึ่งในชั้นไต่สวนได้มีการขอไปอีกครั้ง แต่ได้มาแล้วหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ เมื่อถามย้ำว่าจะต้องถึงจุดไหนที่จะสามารถบังคับให้ส่งข้อมูลมา เนื่องจากมีระยะเวลามานานแล้ว นายสาโรจน์กล่าวว่า ในชั้นไต่สวนก็ใช้อำนาจทางกฎหมายแล้ว แต่หากไม่ส่งหรือดำเนินการ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
เมื่อถามอีกว่า มีการนำข้อมูลผู้ป่วยมาอ้างเพื่อไม่ส่งเอกสารมาให้ ป.ป.ช. ถือว่าฟังขึ้นหรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า คณะไต่สวนตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ต้องดูหลักกฎหมาย ซึ่งเขาทราบอยู่แล้วว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ เมื่อถามว่าจะต้องมีการขอข้อมูลจากแพทยสภาหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ รพ.ตำรวจเคยมีการส่งข้อมูลไปให้แพทยสภาก่อนแล้ว นายสาโรจน์กล่าวว่า อะไรที่เป็นพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. ก็สามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ รพ.ตำรวจยังโยนกันไปมาแบบนี้ จะต้องมีการพิจารณาโทษอื่นร่วมด้วยหรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า ต้องดูว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เพราะตามข่าวคือ สตช.มอบหมายให้ รพ.ตำรวจ ซึ่งเขามีข้อขัดข้องกันหรือไม่ ตนไม่ทราบ ต้องดูต่อไป
ฟันข้อหา 44 สส.
นายสาโรจน์ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาเรื่องร้องเรียนจริยธรรมร้ายแรงกับ 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล ที่เข้าชื่อแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวน ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการไต่สวนดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน ตามขั้นตอนนั้น เมื่อคณะกรรมการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว จะพิจารณาว่ามีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ หากมีหลักฐานเพียงพอ จะแจ้งข้อกล่าวหา แต่หากไต่สวนแล้วพบว่าการกระทำนั้นไม่มีความผิด จะสรุปสำนวนว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ก่อนจะเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา
เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวว่า คาดว่าการแจ้งข้อกล่าวหาจะใช้เวลาอีกไม่นาน เพราะการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานที่ได้รับรายงานมานั้น ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานค่อนข้างที่จะครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อสรุปสำนวนเสนอคณะกรรมการไต่สวน ก็เป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการไต่สวนว่าหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาไปทางใดทางหนึ่งแล้วหรือไม่ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าใช้เวลาอีกไม่นาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภายในปีนี้จะได้เห็นการชี้มูลความผิด 44 สส.ที่ถูกร้องเรียนหรือไม่ นายสาโรจน์กล่าวว่า ตามความเห็นของตน หากไต่สวนครบถ้วนและมีพยานหลักฐานชัดเจน ก็สามารถที่จะพิจารณาได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ แต่การพิจารณานั้นไม่ได้หมายความว่าจะไปถึงขั้นตอนชี้มูล เพราะตามขั้นตอนจะต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาได้ชี้แจง ซึ่งหากมีการชี้แจงแล้ว จะมีการสรุปสำนวนและพิจารณาว่าคำชี้แจงฟังขึ้นหรือไม่ เพื่อพิจารณาว่าข้อกล่าวหามีมูลหรือไม่มีมูล ทั้งนี้ ตามกรอบระยะเวลาภาพใหญ่คาดว่าอาจจะชัดเจนภายในปีนี้ หากไม่มีข้อเท็จจริงที่จะต้องไปดำเนินการเพิ่มเติมมาก
เร่งทำคดีสำคัญ
วันเดียวกัน ป.ป.ช.ได้จัดโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ นายสาโรจน์ระบุว่า ภารกิจด้านปราบปรามการทุจริต สถิติข้อมูลเรื่องร้องเรียนต่างๆ ของภาค 9 มีอย่างไร มีบุคลากรเท่าไหร่ มีจำนวนเรื่องตรวจสอบไต่สวนเจ้าหน้าที่แต่ละคนมีเท่าไหร่ มีสถิติข้อมูลลักษณะเรื่องร้องเรียนหน่วยงานใดมาก แต่อย่างที่บอก ถูกร้องเรียนมากอาจไม่ได้ทำผิดมาก อาจมีประเด็นเป็นที่สนใจของประชาชน มาแจ้งเบาะแส มีการกระทำที่ถูกกล่าวหาในลักษณะใด เรียงตามลำดับ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นข้อมูลสถิติ แต่ในภาพใหญ่ของ ป.ป.ช.มีทุกภาคครบถ้วน เพราะเป็นตัวเลขสำคัญที่ทำให้เราจัดลำดับความสำคัญในการทำเรื่องตรวจสอบคดีทุจริต
“ประชาชนตั้งคำถามมาตลอดว่า ทำงานช้า แต่ละเรื่องใช้เวลา 3-5 ปี ตามความยากง่าย นี่เป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งที่สำนักงาน ป.ป.ช.ต้องรับทุกเรื่อง สะสมมากเข้า ก็ช้าทุกเรื่อง ถ้าเราทำคดีสำคัญ เราจะทำให้เร็ว ปริมาณต้องอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เพราะฉะนั้นช่วงหลังจะรับคดีสำคัญ และเร่งให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนคดีอื่นๆ ก็ให้หน่วยงานอื่นทำไป นี่เป็นแนวนโยบายหลักของสำนักงาน ป.ป.ช.” นายสาโรจน์กล่าว
เมื่อถามว่า ระยะเวลาในการทำคดี มีนโยบายอย่างไร และอะไรเป็นอุปสรรคของระยะเวลา นายสาโรจน์กล่าวว่า กรอบเวลาตามกฎหมายเขียนไว้ชัด ให้ดำเนินการไต่สวนแต่ละเรื่องให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ถ้ามีเหตุผลความจำเป็นขยายได้อีก 1 ปี เป็น 3 ปี แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกเรื่องเราทำ 3 ปี โดยการไต่สวนหลักการสำคัญคือการหาพยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนจะช้าหรือเร็ว ปัญหาประการแรกคือปริมาณงาน เราพยายามแก้ให้ลดลง
นายสาโรจน์ระบุว่า ส่วนที่มีผลโดยตรงคือ ความยุ่งยากของคดี แต่ละคดีไม่เท่ากัน บางคดีพยานหลักฐานชัดเจน ทำให้เสร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว บางคดีซับซ้อน ไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหรือพยานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องใช้เวลา ในทางกฎหมายเหมือน ป.ป.ช. อำนาจเยอะ จะสั่งให้ใครส่งอะไร ให้ถ้อยคำอย่างไรได้หมด แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะดำเนินการอย่างนั้นได้ทุกกรณี ถ้าเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เราก็ต้องดำเนินคดีเขาอีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่มาตรการเด็ดขาดที่จะจัดการกับพยานหลักฐานนั้นๆ ได้ นี่เป็นข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่ง
“ระยะเวลา วิธีการอะไรต่างๆ เราสามารถดำเนินการได้อย่างไร ในส่วนของระยะเวลา ขึ้นอยู่กับปริมาณของคดี ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของคดีนั้น นี่เป็นตัวแปรสำคัญ กรอบเวลาไม่จำเป็นต้องเต็มตามกรอบ ขึ้นอยู่กับความครบถ้วนสมบูรณ์ของพยานหลักฐาน ถ้าครบถ้วนสมบูรณ์ เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยได้” นายสาโรจน์กล่าว
อบต.ร้องเรียนพุ่ง
นายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 9 กล่าวว่า พื้นที่ ป.ป.ช. ภาค 9 มี 7 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ตรัง สตูล พัทลุง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยในพื้นที่ภาคใต้มีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ทั้งหมด 41 คน ในปีงบประมาณ 68 มีเรื่องตรวจสอบเบื้องต้น 388 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 43 เรื่อง คงเหลือ 345 เรื่อง อย่างไรก็ดี จากสถิติเมื่อเข้าชั้นไต่สวนแล้วใน 100% มีโอกาสถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูล 70%
นายทวิชาติกล่าวว่า สำหรับเรื่องที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดในภาค 9 คือ เรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 รองลงมาคือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ขณะที่หน่วยงานที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดในภาค 9 คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด อันดับ 1 คือ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 64 เรื่อง รองลงมาคือ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย มากที่สุดคือ กรมการปกครอง กรมที่ดิน และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
“โดยมีอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดถูกร้องเรียนมา 10 เรื่อง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มากที่สุดคือกรมชลประทาน หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 32 เรื่อง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 31 เรื่อง มากที่สุดคือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 20 เรื่อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 27 เรื่อง หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 23 เรื่อง และหน่วยงานทหาร 10 เรื่อง”
นายทวิชาติกล่าวว่า จังหวัดที่มีการร้องเรียนมากที่สุดในพื้นที่ภาค 9 ได้แก่ ตรัง 61 เรื่อง, สงขลา 45 เรื่อง, นราธิวาส 46 เรื่อง, ปัตตานี 44 เรื่อง, พัทลุง 40 เรื่อง และสตูล 22 เรื่อง สำหรับ จ.ตรัง ที่มีการร้องเรียนมากที่สุด อาจจะถือได้ว่าประชาชนในจังหวัดมีความตื่นตัว เวลาพบเห็นสิ่งผิดปกติจะร้องเรียน ซึ่งเรารับไว้ตรวจสอบเบื้องต้นอยู่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทบ.เดือดจัด ซัด‘เฮงรัตนา’ จอมลวงโลก
โฆษก ทบ.จี้นานาชาติจับตา “เฮง รัตนา” ผอ. CMAC กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลเท็จ บ่อนทำลายความไว้วางใจและสันติภาพในภูมิภาค ใช้จินตนาการปั้นแต่งเรื่องราวเพื่อหลอกลวงสังคมโลก
‘ราชินี’แรงบันดาลใจคนรุ่นใหม่
ในหลวงพระราชทานถ้วยรางวัลนักกีฬาเรือใบ “ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า” ครั้งที่ 37 พระราชินีทรงแข่งเรือใบรอบชิงชนะเลิศ ทำให้เรือวายุมีคะแนนดีที่สุดในการแข่งขัน
‘อนุทิน’ล่องลงใต้ ขออภัยผมผิดเอง
"อนุทิน" นำคณะ ครม.ลงใต้อีกรอบ เตรียมตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติส่วนหน้า ที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12
พท.ขึงขังซักฟอก อ้างเหตุเพราะมีคนตายปากกล้าขาสั่นท้าไม่กลัวยุบสภา
พรรคเพื่อไทยจะเอาทุกอย่าง ซักฟอกดิสเครดิตรัฐบาลก่อนเลือกตั้ง บีบพรรคส้มตัดสินใจ เชื่อ "อนุทิน" ไม่ยุบสภา ไม่กระทบรัฐธรรมนูญ "สรวงศ์" ลั่น
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว

