‘ตรุษจีน’กร่อย! เหตุของแพงขึ้น หนี้ครัวเรือนสูง

ตรุษจีนกร่อย หอการค้าไทยเผยการจับจ่ายใช้สอยช่วงตรุษจีนปีนี้เงียบเหงา เหตุของแพงขึ้น รายได้ไม่ได้เพิ่ม หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น คาดเงินสะพัดเหลือ 3.9 หมื่นล้านบาท ติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาทเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี “นายกฯ” กำชับ ก.พาณิชย์-ตำรวจ ตรวจสต๊อกปาล์มน้ำมัน สั่งห้ามกักตุน เดินหน้าตามกฎหมายเคร่งครัด พร้อมให้ ก.เกษตรฯ เฝ้าระวังควบคุมโรค ASF อย่างเข้มงวด

 เมื่อวันที่ 25 มกราคม นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยสำรวจช่วงวันที่ 17-24 มกราคม 2565 พบว่า สัดส่วนกลุ่มสำรวจระบุคงไหว้เจ้า สัดส่วนลดลงเหลือ 38.1% จากปีก่อนมีสัดส่วน 41.9% โดยกว่า 99% เห็นว่าบรรยากาศในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้คึกคักน้อยถึงเงียบเหงา และ ในกลุ่มสำรวจ 44.7% ระบุใช้จ่ายลดลง อีก 18.8% ใช้จ่ายเท่าเดิม

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ในกลุ่มนี้กว่า 82% ให้เหตุผลภาวะเศรษฐกิจแย่ลง รายได้ลดลง ลดค่าใช้จ่าย และมีภาระหนี้เพิ่ม ขณะที่ 36.5% ระบุใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดย 89.4% ระบุต้องใช้เงินเพิ่มจากสินค้ามีราคาแพงขึ้นมาก และ 61.8% ระบุของแพงกว่าปีก่อนมาก และเพียง 7% จ่ายเพิ่มเพราะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ดังนั้น จึงพบว่าทุกภูมิภาคตรุษจีนปีนี้ ลดทั้งปริมาณและมูลค่าการใช้จ่าย โดยเฉพาะการปรับขึ้นของราคาหมู ต้องลดปริมาณซื้อถึง 50% เป็นต้น ทำให้ยอดใช้จ่ายตรุษจีนปีนี้ทั้งซื้อของ ท่องเที่ยว และแต๊ะเอีย เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 4,700 บาท ส่งผลให้เงินสะพัดช่วงตรุษจีนปีนี้ประมาณ 39,628 ล้านบาท ติดลบ 11.82% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องปีที่ 3 มูลค่าต่ำสุดในรอบ 11 ปีนับจากปี 2554

"สำรวจสะท้อนให้เห็นว่าตรุษจีนปีนี้ซบเซา สาเหตุหลักคือของแพงขึ้น รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ถือเป็นปีที่ใช้จ่ายตรุษจีนประหยัดที่สุดจากที่ทำการสำรวจตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งการติดลบปีนี้ต่างจากปีก่อน ที่ติดลบเพราะสถานการณ์การแพร่บาดของโควิด-19 ที่เป็นสาเหตุอันดับ 1 ของปีก่อน แต่ปีนี้กังวลเรื่องปัญหาหนี้เพิ่ม รายได้ไม่ดี กำลังซื้อจึงไม่ดี ประกอบกับสินค้าและบริการแพงขึ้นมาก ต้องประหยัด ขณะที่กังวลต่อโอมิครอนระบาดต่ำกว่าปัจจัยปัญหาปากท้อง แต่เพื่อรักษาธรรมเนียม สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่ระบุเพิ่มการซื้อไข่เพิ่ม ทดแทนการซื้อโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ที่มีราคาสูงมาก โดยเฉพาะการซื้อเพื่อบริโภคในชีวิตประจำวัน" นายธนวรรธน์กล่าว

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์สินค้าราคาแพงและมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนต่อสถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสภาพอากาศ ฝนตกต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันน้อยกว่าปกติอย่างมากกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจ สต๊อกปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม หวั่นผู้ประกอบการรายใหญ่กักตุนสินค้า ทำให้ราคาปาล์มน้ำมันทั้งระบบพุ่งสูงขึ้นไปอีก ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภคอุปโภคเป็นวงกว้าง

โดยล่าสุดตำรวจร่วมบูรณาการกับพาณิชย์จังหวัด จัดชุดตรวจลงพื้นที่ตรวจสต๊อกปาล์มน้ำมัน โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ โรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ตลอดจนคลังน้ำมันปาล์มฯ ซึ่งจะดำเนินการกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากราคาปาล์มน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ กำหนดดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ.2542

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามการดำเนินงานตามข้อสั่งการเรื่องการป้องกัน ควบคุม และกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ลงพื้นที่สำรวจปริมาณซากสุกรในห้องเย็นทั่วประเทศอย่างเข้มงวด โดยข้อมูลพื้นที่เข้าดำเนินการ ระหว่างวันที่ 20-25 มกราคม 2565 (จำนวน 773 แห่ง) ตรวจพบซากสุกรสะสม จำนวน 18,727,824.545 กิโลกรัม โดยกรมปศุสัตว์มีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการลักลอบนำสุกรมีชีวิตและผลิตภัณฑ์เข้าประเทศ ค้นหาโรคเชิงรับและเชิงรุก

 “นายกฯ ให้ความสำคัญการแก้ไขปัญหาสินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพงในขณะนี้ โดยกำชับไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้บูรณาการร่วมมือกันเร่งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” นายธนกรกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง