ขย่ม‘บิ๊กตู่’ให้ยุบสภา พท.โหนผลเลือกตั้งซ่อมสะท้อนความล้มเหลวรัฐบาล

ผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 ไม่เป็นทางการ “สุรชาติ  เทียนทอง” คว้าเก้าอี้ มีผู้มาใช้สิทธิ์แค่ 52.68% เพื่อไทยพาเหรดโหนผลหย่อนบัตรขย่ม “ประยุทธ์” ให้ยุบสภา อ้างเพื่อเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มุกธรรมนัสแป้ก นักการเมืองไม่สนใจวลีศัตรูของศัตรูคือมิตร “สกลธี” ระบุ พท.ไม่ใช่แลนด์สไลด์ เพราะคะแนนไม่ต่างจากปี 2562 ชี้คะแนน “บิ๊กตู่” ยังไปได้ แต่พลังประชารัฐน่าห่วงหากไม่ปรับปรุง

เมื่อวันที่ 31 มกราคม สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.) ได้รายงานผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กทม.เขตเลือกตั้งที่ 9 แทนตำแหน่งที่ว่าง (เขตหลักสี่ และจตุจักร เฉพาะแขวงลาดยาว เสนานิคม และจันทรเกษม) รวมทั้งสิ้น 280 หน่วยอย่างไม่เป็นทางการว่า นายสุรชาติ เทียนทอง  พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้รับเลือกตั้งเป็นลำดับที่ 1 ด้วยคะแนน  29,416 คะแนน​ ลำดับที่ 2 นายกรุณพล เทียนสุวรรณ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) 20,361 คะแนน​ ลำดับที่ 3 นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี พรรคกล้า 20,047 คะแนน​ ลำดับที่ 4 นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ  พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 7,906 คะแนน​ ลำดับที่ 5 นายพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ พรรคไทยภักดี 5,987 คะแนน​ ลำดับที่ 6 นายเจริญ ชัยสิทธิ์ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน 333 คะแนน​ ลำดับที่ 7  นายรุ่งโรจน์ อิบรอฮีม พรรคไทยศรีวิไลย์ 244 คะแนน และลำดับที่ 8  น.ส.กุลรัตน์ กลิ่นดี พรรคยุทธศาสตร์ชาติ 190

ทั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 88,124 คน จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 167,287 คน หรือ 52.68% เป็นบัตรดี 84,484 บัตร  ส่วนบัตรเสีย 1,184 บัตร ขณะที่บัตรไม่เลือกผู้ใด 2,456 บัตร  โดย กกต.กทม.จะตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนเสนอต่อที่ประชุม กกต.เพื่อพิจารณาก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้งต่อไป

ด้านนายสุรชาติ พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรค พท. รวมทั้ง ส.ส.ของพรรคได้เดินทักทายขอบคุณประชาชนบริเวณหน้าวัดหลักสี่ โดยมีประชาชนพ่อค้าแม่ค้ามอบดอกไม้แสดงความยินดีและสวมกอดนายสุรชาติ จากนั้นได้ขึ้นรถแห่ขอบคุณประชาชนในพื้นที่หลักสี่-จตุจักร

นายสุรชาติกล่าวว่า ขอบคุณประชาชน ชัยชนะครั้งนี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบ จะทำงานรับใช้ประชาชนทุกคนอย่างตั้งใจที่สุด จะทุ่มเทกับทุกวันในชีวิตที่ทำมาตลอด 17 ปี ส่วนการทำงานในสภานั้น แม้ไปเป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน แต่จะทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ปราศจากอคติ ไม่คิดล้มล้างหรือทำลายใคร และจะทำหน้าที่เป็น ส.ส.ของทุกคน

นพ.ชลน่านกล่าวว่า แม้มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ไม่มาก แต่ก็ตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจนว่าประชาชนต้องการคนทำจริง ส่วนที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นอันดับสองจะกลายมาเป็นคู่แข่ง พท.ในอนาคตหรือไม่นั้น  ในทางการเมืองทุกพรรคการเมืองถือเป็นคู่แข่ง แต่ไม่ใช่ศัตรูกัน ถือว่าทุกพรรคมีส่วนร่วมสำคัญในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีโดยเฉพาะระบบประชาธิปไตย

นพ.ชลน่านยังปฏิเสธแสดงความเห็นกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า  แกนนำพรรคเศรษฐกิจไทย โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความยินดีหลังทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ โดยทิ้งท้ายว่า “the enemy of my enemy is my friend (ศัตรูของศัตรูคือมิตร)” โดยระบุว่าถือเป็นทัศนะ ทุกคนเป็นเพื่อนเป็นมิตรกันได้ในทางการเมืองอยู่แล้ว  อุดมคติและแนวทางการทำงาน หากแนวทางที่เดินเมื่อรู้ว่าทำแล้วไปไม่ได้ ไม่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ก็สามารถเปลี่ยนเส้นทางได้ ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะร่วมงานกัน 

โหนผลเลือกตั้งขย่มประยุทธ์

 “การเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากจะไม่นำประชาชนออกจากวิกฤตแล้วยังเป็นการซ้ำเติมวิกฤต ทางออกที่ดีที่สุดคือคืนอำนาจให้ประชาชน เพราะไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยหากจะพิจารณาตน ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ยุบสภาจะไปกราบขอบคุณเป็นคนแรก เพราะถือเป็นการทำเพื่อชาติบ้านเมือง หรือประกาศเลยว่าจะไม่อยู่เกินวาระ 8 ปี ซึ่งวิธีนี้จะเป็นทางลงที่สง่างามที่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอให้พิจารณาว่าทำไมพรรคไม่ประสบผลสำเร็จ และผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นการลงโทษจากประชาชน ขอให้คิดถึงประชาชนเป็นหลัก ทบทวนตนเอง ก่อนจะเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงต่ำกว่า 50  เสียง” นพ.ชลน่านกล่าว

นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรค พท.กล่าวเช่นกันว่า คนกรุงเทพฯ รวมถึงคนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้แล้วกับการบริหารที่ล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยผลของการลงคะแนนจะเห็นได้ว่าพรรค พท.มาอันดับ 1 และพรรคก้าวไกลมาอันดับ  2 ซึ่งเป็นพรรคฝั่งประชาธิปไตย รวมคะแนนเสียงแบบไม่เป็นทางการแล้วมีถึง 49,777 คะแนน ทิ้งห่างพรรคที่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์อย่างมาก แสดงถึงเจตนารมณ์ของคนกรุงเทพฯ ที่อยากเห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรค พท.กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขตหลักสี่-จตุจักร สะท้อนอย่างชัดเจนว่า ประชาชนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลชุดนี้แล้ว จึงออกเสียงลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ดังนั้นรัฐบาลควรพิจารณาเสียงสะท้อนจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ให้ดี อย่าล้อเล่นกับเสียงประชาชน เพราะไม่เหมือนกับการขับรถถังออกมายึดอำนาจ และหากคิดจะทำการรัฐประหารเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองอีกก็จงคิดให้ดี  เพราะไม่มีอำนาจอะไรใหญ่เกินกว่าอำนาจประชาชน

ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรักษาการเลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 ว่า ต้องแสดงความยินดีกับ ส.ส.คนใหม่ที่ได้รับเลือกตั้ง ซึ่งพรรค พปชร.เคารพเสียงประชาชนและขอบคุณประชาชนที่ลงคะแนนให้ แม้ครั้งนี้จะไม่ชนะแต่ พปชร.จะลงพื้นที่สำรวจความเห็นประชาชนในสิ่งที่อยากให้พรรคดำเนินการในเรื่องต่างๆ และในฐานะรักษาการเลขาธิการพรรคจะทำให้ นำสิ่งที่ประชาชนทั้งสองเขตต้องการมาศึกษาว่าอยากให้เราทำอะไรบ้าง เพื่อจะได้นั่งอยู่ในใจประชาชน ส่วน พล.อ.ประวิตรไม่ได้พูดอะไร

เมื่อถามถึงความพ่ายแพ้ทั้ง 3 เขตเลือกตั้งของพรรค อาจถูกมองได้ว่าเป็นช่วงขาลงของ พปชร. และ พล.อ.ประวิตร รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายสันติกล่าวว่า นายกฯ ทุ่มเททำงานในภาวะวิกฤตมากว่า  7 ปี และอยู่ภายใต้มรสุมมาตลอด แต่รักษาคุณภาพการลงทุนและเศรษฐกิจอย่างดีเยี่ยม โควิด-19 เกิดมา 2 ปียังดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ดี ต้องชื่นชมความตั้งใจและทุ่มเทของนายกฯ ที่คิดทุกอย่างเพื่อพัฒนาประเทศ

 ถามย้ำว่าชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์อาจขายไม่ได้แล้ว นายสันติ กล่าวว่า เป็นคนละประเด็น นายกฯ ทุ่มเททำงานให้ประชาชน แต่เรื่องแพ้ชนะเป็นเรื่องพรรคที่ต้องปรับปรุงการบริหารจัดการและสร้างผลงานให้ตรงใจประชาชนในความต้องการแต่ละยุคสมัย และในฐานะรักษาการเลขาธิการพรรค ต่อนี้ไปจะผลักดันนโยบายและเชื่อมต่อกับรัฐบาลให้ได้ เพื่อนำนโยบายลงไปถึงประชาชน   

 เมื่อถามถึงการโพสต์ของ ร.อ.ธรรมนัส ในเรื่องศัตรูของศัตรูคือมิตร นายสันติกล่าวว่ายังไม่ได้ยิน แต่จะพูดอย่างไรเราก็ควรรับฟัง และมีความปรารถนาดีกับทุกคน ถ้าติจะนำมาตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริงจะแก้ไข ถ้าชมจะขอบคุณ 

พาเหรดเมินเสียง ร.อ.ธรรมนัส

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะคณะกรรมการบริหารพรรค พปชร.กล่าวว่า ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความไว้วางใจและลงคะแนนเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยกว่าครั้งที่แล้ว จาก 70% เหลือ  50% ซึ่งเราไม่ทราบว่าส่วนที่ขาดหายไปนั้นเป็นคะแนนของพรรค พปชร.หรือไม่ อย่างไร โดยเรามองอยู่ว่าเป็นไปได้ในหลายกรณี แต่ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง

ต่อข้อถามว่า มองอย่างไรในการโพสต์ของ ร.อ.ธรรมนัส นายอนุชาตอบว่า ไม่ทราบและคงไม่ไปวิเคราะห์ผู้ที่ให้ความคิดเห็นทางการเมืองในหลากหลายมติ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่เคยวิเคราะห์เจตนาของผู้ใดแม้แต่ครั้งเดียว ขอให้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่เดินทางมาร่วมติดตามผลการเลือกตั้งว่า เนื่องจากติดเชื้อโควิด-19 แม้จะรักษาหายแล้ว แต่ยังต้องกักตัวอีก 7 วัน ส่วนสาเหตุที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งนั้นไม่ขอวิเคราะห์ เนื่องจากมีการวิเคราะห์กันมากมายตามช่องทางต่างๆ อยู่แล้ว

ส่วน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "ขอขอบคุณทุกๆ คะแนนเสียงจากประชาชนจตุจักร-หลักสี่ที่ได้รับ และต้องแสดงความยินดีกับพรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม  ซึ่งเราได้รับการเรียนรู้หลายๆ เรื่อง จากการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเราเริ่มต้นจากศูนย์ ทั้งผู้สมัคร และพรรค รวมทั้งเรื่องพื้นที่ แต่สิ่งที่ต้องตระหนักนั่นคือ พรรคการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลกลับได้รับความไว้วางใจจากประชาชนน้อยมาก ดังนั้นสิ่งที่นายกฯ ต้องตระหนักก็คือท่าทีต่อพรรค พปชร.ที่ได้รับการลงโทษจากประชาชนหนักกว่าที่คาดคิด จึงต้องปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อมจะสะท้อนการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ว่า การเลือกตั้งซ่อมไม่เหมือนเลือกตั้งทั่วไป เพราะการแข่งขันไม่ได้ลงกันทุกพรรค ซึ่งใครชนะก็ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะ และทุกๆ พรรคที่ได้คะแนนเสียง เพราะดูหลายๆ พรรคที่ถึงแม้จะไม่ชนะในสนามเลือกตั้ง แต่ถือว่าประสบความสำเร็จในทางการเมืองระดับหนึ่ง จึงขอแสดงความยินดีและเป็นกำลังใจให้ทุกๆ ฝ่าย 

 ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายมองว่าเป็นเพราะคะแนนความนิยมของรัฐบาลแผ่วลงแล้ว นายอนุทินกล่าวว่า มันก็มีขึ้นมีลง สุดท้ายต้องไปดูวันเลือกตั้ง วันนี้รัฐบาลเหลือเวลาอีก 1 ปีเศษ ฉะนั้นอะไรที่ค้างคาอยู่ต้องรีบเร่งออกมา อะไรที่เป็นปัญหาของประชาชนต้องรีบเร่งแก้ไข สุดท้ายประชาชนเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่เราเป็นคนตัดสิน 

 เมื่อถามถึงความกังวลเรื่องอุบัติเหตุทางการเมืองในช่วงหลังจากนี้  นายอนุทินกล่าวว่า ตอนนี้ขับไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คงไม่เป็นอะไร นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมและเลขาธิการพรรค  ภท. ให้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เราเอา 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพอ เมื่อถามย้ำว่า เชื่อว่าสัญญาณยังดีอยู่ใช่หรือไม่ นายอนุทิน พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “So far So good”    

ถามถึงกรณีพสต์ของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ว่าศัตรูของศัตรูคือมิตร  นายอนุทินหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ผมมีแต่มิตร ไม่มีศัตรูเลย จึงแปลไม่ได้” 

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งซ่อมว่า เป็นดัชนีชี้วัดความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ได้ระดับหนึ่ง เพราะมีการแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน และเมื่อนำคะแนนของทั้ง 2 ฝ่ายมารวมกัน จะเห็นได้ชัดว่าคนกรุงเทพฯ ในเขต 9 ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะการดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้

บิ๊กตู่ยังทรงแต่พลังประชารัฐขาลง

นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม.และอดีตแกนนำ กปปส.ที่เพิ่งลาออกจากพรรค พปชร.วิเคราะห์ว่า หากย้อนกลับไปดูผลการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 นับเฉพาะ 4 พรรคใหญ่ คือ ปชป., พปชร.,  อนาคตใหม่ (ก้าวไกลขณะนี้) และเพื่อไทย จะพบว่าแม้ ส.ส.จะเป็นของ พปชร. แต่คะแนนรวมของ ปชป.+พปชร.ก็น้อยกว่าคะแนนของ  พท.+อนค. อยู่หลายพันคะแนนอยู่แล้ว และผู้ออกมาใช้สิทธิ ณ วันนั้นประมาณ 74% แต่เมื่อวันที่ 30 ม.ค.มีผู้ใช้สิทธิอยู่ที่ 52% น้อยกว่าการเลือกตั้งปี 2562 ถึง 22% ซึ่งตีเป็นจำนวนคนได้ประมาณ  39,000 คน ที่ไม่ได้ออกมาใช้สิทธิ์เท่าปี 2562

นายสกลธียังกล่าวอีกว่า หากดูคะแนนของเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ของพรรคไทยภักดี+กล้า+พปชร. ได้คะแนนน้อยกว่า พท.+ก.ก. ประมาณ 15,000 คะแนน ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างไปมากจากการเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 ดังนั้นการจะบอกว่าความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ตกต่ำมากก็ดูไม่เป็นธรรมเท่าไหร่ ส่วนผลการเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนอะไรได้บ้าง ต้องบอกว่า พท.คะแนนนิยมในเขตนี้คงแทบไม่ได้มีความแตกต่างไปจากเดิม แต่ความนิยมของ พปชร.ลดลงอย่างน่าตกใจ เพราะคะแนนหายไปจากการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 ถึงประมาณ 27,000 คะแนน แต่จุดที่ต้องระวังก็คือ 39,000 คะแนนที่ไม่ได้ออกมาใช้สิทธิ์คราวนี้ ซึ่งมองว่าส่วนใหญ่เคยเลือก พปชร. อาจไม่กลับมาทางฝั่งของ พปชร.อีกถ้าไม่เร่งปรับหรือทำอะไรซักอย่าง

“ผลการเลือกตั้งใหญ่ข้างหน้าในอนาคตในเขตนี้ก็คงไม่แตกต่างไปจากนี้ แถมยังอาจจะลามไปทั่วทั้ง กทม. แต่ยังเชื่อว่า พท.ยังไม่แลนด์สไลด์ และพรรคก้าวไกลยังน่ากลัว”

วันเดียวกัน ยังคงมีความต่อเนื่องถึงกรณีกลุ่ม 21 ส.ส.ที่นำโดย  ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งถูกพรรค พปชร.ขับออก โดยนายไผ่ ลิกค์ ส.ส. กำแพงเพชร 1 ใน 21 ส.ส.ระบุว่า 18 ส.ส.ได้ยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทยแล้ว ส่วนนายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวัฒนา ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น ระบุว่ารอฤกษ์งามยามดี ส่วนนายสมศักดิ์ พันธ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา ยังไม่ทราบคงต้องรอถามเจ้าตัว

นายเอกราชกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขอรอความชัดเจนการพิจารณาของ กกต. กรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยยื่นคำร้องให้ตรวจสอบก่อน หลังวันที่ 14 ก.พ.นี้จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งว่าจะตัดสินใจอย่างไร

นายอนุทินกล่าวถึงกระแสข่าวนายเอกราชจะย้ายมา ภท.ว่า ยังไม่ได้มีการประสานเข้ามา และไม่ได้ติดต่อกับนายเอกราชโดยตรง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง