‘ภท.’ยืดอกรับ พรรคสีนํ้าเงิน 8เม.ย.รดน้ำแม้ว

ภูมิใจไทยปรับสีโลโก้ใหม่ ยืดอกเป็นพรรคสีน้ำเงิน “เสี่ยหนู” ลั่นจะไม่แบ่งแยกประชาชน “ปชป.” ก้าวสู่ทศวรรษที่ 8 “เฉลิมชัย”  เหน็บพวกบอกเลือดประชาธิปัตย์ย้ายหนีหมด  “พท.” เตรียมประชุมใหญ่ 8 เม.ย. “นายใหญ่”   มาพรรคให้ลูกสาวและลิ่วล้อรดน้ำดำหัว

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2568    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นประธานทำบุญครบรอบวันก่อตั้งพรรคก้าวสู่ปีที่ 17 โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค รัฐมนตรี สส. และสมาชิกพรรค รวมถึงพรรคการเมืองเข้าร่วมอย่างคึกคัก

จากนั้นมีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี  2568 โดยมีวาระสำคัญคือ การแก้ไขข้อบังคับพรรค และเปลี่ยนโลโก้พรรค เป็นสีน้ำเงินล้วนทั้งหมด ซึ่งหมายถึงการดำเนินงานทางการเมืองที่ยึดมั่นในวิถีของความเป็นไทย สื่อถึงความรักชาติ จรรโลงศาสนา และเทิดทูนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ของคนไทยทั้งชาติ ภายในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ต่อมาในเวลา 11.15 น. นายอนุทินพร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรคได้ขึ้นอัฒจันทร์บริเวณด้านหน้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อเปิดตัวสีตราสัญลักษณ์ใหม่ของพรรคภูมิใจไทย เป็นสีน้ำเงินล้วน

โดยนายอนุทินกล่าวว่า 16 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลง ทั้งการเปลี่ยนแปลงในระบบและการเปลี่ยนแปลงนอกระบบ แต่สิ่งหนึ่งที่พรรค ภท.ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  และยังคงยึดมั่นเป็นอุดมการณ์สูงสุด เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคนภูมิใจไทยไว้ได้ ก็คือความจงรักภักดีต่อสถาบันสำคัญของชาติ ซึ่งมีความมั่นคง ไม่มีเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ และความจงรักภักดีต่อสถาบันสำคัญของชาติ หล่อหลอมพรรคและสมาชิกพรรคมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถูกเรียกว่าเป็นพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งเราถือว่าเป็นการให้เกียรติต่อพรรค และเป็นการแสดงให้เห็นว่าพี่น้องประชาชน สื่อมวลชน ยอมรับและสัมผัสได้ถึงอุดมการณ์ของพรรค

 “จากนี้ไปเมื่อกล่าวถึงพรรคสีน้ำเงิน ให้เป็นที่รับรู้ว่าคือพรรคภูมิใจไทย แต่เราจะไม่นำความเป็นพรรคสีน้ำเงินไปแบ่งแยกพี่น้องประชาชน หรือก่อให้เกิดความแตกแยก หรือสร้างสงครามสีเสื้อ สร้างความบอบช้ำ สูญเสียให้แก่พี่น้องประชาชนดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต” นายอนุทินกล่าว

ขณะที่ นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) เดินทางเข้ามาอวยพรวันเกิดพรรค ภท.  พร้อมกล่าวว่า​ เป็นตัวแทน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และหัวหน้าพรรค พท. มาแสดงความยินดี และยืนยันว่า​ รัฐบาลจะประคองและทำงานร่วมกันไปจนครบวาระ ก่อนที่นายอนุทินจะเดินเข้ามาร่วมวงสัมภาษณ์​ และยกมือทำรูปหัวใจครึ่งหนึ่ง​ จากนั้นนายสรวงศ์จึงได้ยกมือทำรูปหัวใจอีกครึ่งหนึ่งมาประสานกัน

ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จัดงานฉลองในโอกาสครบรอบ 79 ปี ภายใต้แนวคิด “ก้าวต่อไปสู่ทศวรรษที่ 8” ซึ่งในช่วงเช้าพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดพิธี 3 ศาสนา โดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค กล่าวตอนหนึ่งว่า เข้ามาเป็น สส.ตั้งแต่ปี 2544 ยังไม่เคยคิดย้ายพรรค แม้อาจไม่ได้ประกาศว่าจะอยู่ประชาธิปัตย์จนตาย เพราะเห็นหลายคนประกาศอย่างนั้น แต่ก็ไปแล้ว แต่ตนไม่ทำ เพราะรู้ว่าใจตนคืออะไร รู้ตัวเองว่าชีวิตได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ชีวิตเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้น หลักการที่เป็นหัวใจของประชาธิปัตย์ต้องมีอยู่

ทั้งนี้ นายสรวงศ์พร้อมตัวแทน สส.พรรคเพื่อไทยร่วมเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีด้วย โดยถือเป็นครั้งแรกที่พรรค พท.ส่งตัวแทนมา เนื่องจากในอดีตทั้ง 2 พรรคนี้เคยมีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกัน

นายสรวงศ์ยังกล่าวถึงการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ของพรรคในวันที่ 8 เม.ย.นี้ว่า ถือเป็นการประชุมตามกฎหมายปกติ โดยจัดก่อนปิดสมัยประชุมในวันที่ 10 เม.ย.นี้

รายงานแจ้งว่า ในวันดังกล่าวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะเดินทางเข้าที่ทำการพรรค พท.ในช่วงบ่าย เพื่อให้แกนนำ สส.และสมาชิกพรรคได้ร่วมรดน้ำดำหัวเพื่อขอพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ขณะที่ น.ส.แพทองธารรวมทั้งบรรดารัฐมนตรีสังกัดพรรคจะเดินทางเข้าที่ทำการพรรคในช่วงบ่ายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้น เพื่อร่วมประชุมใหญ่ และร่วมกิจกรรมรดน้ำดำหัวนายทักษิณครั้งนี้ด้วย

วันเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องให้ ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ประธานอนุกรรมการเฉพาะกิจ แพทยสภา ที่สอบสวนจรรยาบรรณแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ กรณีรักษาอาการป่วยของนายทักษิณที่นอน รพ.ตำรวจชั้น 14 ที่เลื่อนการพิจารณาในวันที่ 10 เม.ย.ออกไป เนื่องจาก รพ.ตำรวจและ รพ.ราชทัณฑ์ส่งเอกสารเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เกิดขึ้น จึงเกิดข้อสงสัยว่ากรรมการบริหารแพทยสภากำลังถูกการเมืองเข้าไปครอบงำ แทรกแซง ผู้มีเครดิต ความน่าเชื่อถือในเรื่องนี้ มี ศ.เกียรติคุณ นพ.อมรคนเดียวเท่านั้น จึงขอเรียกร้องให้อาจารย์อมร ในฐานะประธานอนุฯ เป็นผู้ชี้แจง เพื่อรักษาเกียรติคุณและความน่าเชื่อถือของแพทยสภา ก่อนที่องค์กรแพทยสภาจะพังไปพร้อมกับชั้น 14  รพ.ตำรวจ และ รพ.ราชทัณฑ์.