รัฐบาลง่อนแง่น! หลังปีใหม่ไทยระอุ/ประชามติกาสิโนไม่คุ้ม

"ปธ.วิปรัฐบาล" ยันหลังเปิดสมัยประชุมยังไม่บรรจุร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์ฯ  เข้าสภาทันที รอ ปชช.ส่วนใหญ่เห็นชอบก่อน ปัดทำประชามติ อ้างจ่าย 3 พันล้านไม่คุ้ม “ศึกษิษฏ์” ฟุ้งกาสิโนยกระดับเป็นสถาบันการเงิน  ป้องกันฟอกเงินในระดับสูง "ชวน" เสียงแข็งไม่เอากาสิโน "อดีตรองอธิบดี มธ." เชื่อลูกชายเนวินส่งสัญญาณรัฐบาลอิ๊งค์ใกล้จะถึงจุดจบ "เทพไท" บอกยิ่งนานวัน "ทักษิณ" ชัดเจนนายกฯ ตัวจริง "ซูเปอร์โพล" ชี้สถานการณ์รัฐบาลง่อนแง่น  เหตุขัดแย้งพรรคร่วมฯ เชื่อการเมืองเปลี่ยนหลังสงกรานต์ ปรับ ครม.-ยุบสภา-มีม็อบ

เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2568 นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (ประธานวิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณี  น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. กำชับ สส.ให้ช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่าในส่วนของ สส.คงต้องรอฟังรายละเอียดจากรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องนี้ว่าเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่ใช่แค่กาสิโนเพียงอย่างเดียว

นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์มีกาสิโนอยู่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่คนพยายามพูดถึงแต่กาสิโน แต่ที่เหลืออีก 90 เปอร์เซ็นต์ไม่พูด เราไปเอารูปแบบของสิงคโปร์ซึ่งเป็นระดับโลกมา ไม่ใช่บ่อนกระจอกๆ มีทั้งโรงแรมระดับหกดาว สวนสนุก และสวนน้ำ เพราะฉะนั้นก็เหมือนคนไปวัด ไม่ใช่ไปขอหวยกันหมด คนไปไหว้พระขอพรก็มี คนไปเที่ยวเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ก็จูงลูกหลานไปเที่ยวส่วนอื่น

"ผมได้กลับมาพื้นที่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์  สอบถามและพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่าเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์คืออะไร ในส่วนของกาสิโนมีเพียง 10% เท่านั้น และไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าได้ ถามว่าสถานะทางการเงิน หลักทรัพย์คุณมีถึงหรือไม่ มีรายได้ปีละเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่เสียภาษีก็เข้าไม่ได้ งานนี้เน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวเป็นหลัก อยากให้คนที่คัดค้านคิดให้ดี ที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องมีกาสิโน ถามว่าแล้วใครจะถือเงิน 2 แสนล้านเข้ามาลงทุนในประเทศ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ สถานที่สร้างรายได้ใหม่ให้เกิดกับประเทศ เกิดการจ้างงานมากถึง 2 หมื่นตำแหน่ง ผมยังอยากให้มาสร้างที่จังหวัดผมเลย" นายวิสุทธิ์กล่าว

ซักว่ามีข้อเสนอให้ทำประชามติสอบถามความคิดเห็นประชาชน นายวิสุทธิ์กล่าวว่า การทำประชามติแต่ละครั้งใช้งบประมาณถึง 3 พันล้านบาท ถ้าหากคุณจะออกกฎหมายในเรื่องนี้หรือกฎหมายอื่นๆ แล้วมีการเรียกร้องให้ทำประชามติกันทุกครั้ง ถามว่าคุ้มหรือไม่

เมื่อถามถึงกรณีชมรมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ออกมาเตือนว่า หากเดินหน้าร่างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ต่อ สส.ที่โหวตรับหลักการ อาจสุ่มเสี่ยงขัด พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ   นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ไม่เกี่ยวหรอก หากจะทำตามยุทธศาสตร์ชาติ รัฐบาลก็ไม่ต้องทำอะไรเลย จะหาเงินเข้าประเทศพวกนี้ก็คอยจะร้อง หน้าที่ของสภาคือออกกฎหมาย แล้วจะผิดกฎหมายตรงไหน

ถามว่า ยังมีความเห็นต่างในพรรคร่วมรัฐบาล อย่างกรณีของนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายวิสุทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องในพรรคที่ ภท.ต้องไปแก้ปัญหากันเอง ไม่ใช่พวกตน

ย้ำว่าในฐานะวิปรัฐบาลต้องไปพูดคุยช่วงก่อนเปิดสมัยประชุมเพื่อให้มั่นใจในเสียงโหวตหรือไม่ ประธานวิปรัฐบาลกล่าวว่า ไม่ใช่ว่าเปิดสมัยประชุมแล้วจะเป็นเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ทันที นายกฯ พูดชัดเจนแล้วว่าต้องทำความเข้าใจกับประชาชนก่อน

"หากทุกฝ่ายเห็นด้วยถึงจะทำ ผมมีหน้าที่บรรจุระเบียบวาระขึ้นมา หากมีเรื่องด่วนก็เข้ามาแซงได้เรื่อยๆ ส่วนจะบรรจุเมื่อไหร่นั้น ต้องเป็นเวลาที่เหมาะสม ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย"  ประธานวิปรัฐบาลกล่าว

นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวว่า เราต้องชี้แจงว่าประเทศจะได้อะไรจากเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์บ้าง และเราจะมีมาตรการป้องกันธุรกิจสีเทาอย่างไรได้บ้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีอยู่แล้ว แต่อาจจะสื่อสารน้อยเกินไป โดยสิ่งที่เราจะได้เราต้องการดึงดูดเม็ดเงินขนาดใหญ่เข้าสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ยันกาสิโนป้องกันฟอกเงินได้

 "วันนี้การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวรุนแรงขึ้น  เพื่อนบ้านเขามีสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นเราต้องยกระดับตรงนั้น หากทำได้ก็จะเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ รวมไปถึงอุตสาหกรรมบันเทิงของเราก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย รวมไปถึงเมื่อมีสวนน้ำดีๆ เข้ามาคนไทยก็จะได้เข้าไปเล่นโดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ พอธุรกิจท่องเที่ยวมันโตนักท่องเที่ยวก็เพิ่ม คนที่ได้ประโยชน์ก็จะเป็นผู้ประกอบการในประเทศของเรา" นายศึกษิษฏ์กล่าว

รองเลขาฯ นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนมาตรการป้องกันธุรกิจสีเทา ตัวอย่างที่เอามาจากประเทศเพื่อนบ้านในส่วนที่เป็นกาสิโนที่จะมีแค่ 10% จะยกระดับพื้นที่ให้เป็นเหมือนสถาบันการเงิน มีการกำกับดูแลเหมือนสถาบันการเงินเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน ตรวจสอบผู้เล่น ป้องกันการฟอกเงินให้อยู่ในระดับสูง เมื่อเงินเข้า-เงินออกตามจำนวนที่กำหนดไว้ต้องมีการรายงานไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแล

"หากมีการถอนเข้า-ออกที่น่าสงสัยก็ต้องรายงานเช่นเดียวกัน เงินที่นำมาแลกต้องเอาไปสู่การเล่น ไม่ใช่แลกแล้วถือไว้เฉยๆ ที่เป้าหมายสำคัญคือต้องการกลุ่มลูกค้าวีไอพีเพื่อดึงคนที่มีศักยภาพเข้ามาสร้างในส่วนที่เหลือ หลายๆ เรื่องเราต้องช่วยกันหาทางออกร่วมกันได้ในชั้นกรรมาธิการ ที่ทุกคนสามารถตั้งข้อสังเกตหรือเชิญคนที่มีความรู้ในด้านนี้มาให้ข้อมูลกันได้"  รองเลขาฯ นายกฯ กล่าว

ด้านนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยืนยันว่า ไม่เป็นด้วยนโยบายการเปิดกาสิโน และหวังให้นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช จากพรรค ปชป. ได้รับเลือกตั้ง จะเป็นเสียงสำคัญในการคัดค้านนโยบายที่ไม่เหมาะสมภายในสภาผู้แทนราษฎร

ขณะที่ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความตอนหนึ่งระบุว่า การประกาศกลางสภาของคุณไชยชนก ชิดชอบ จะไม่มีวันสนับสนุนกาสิโนในประเทศไทย เป็นความเห็นของคนคนเดียวโดยไม่มีใครในพรรคภูมิใจไทยรู้ล่วงหน้าหรือไม่ คุณไชยชนกประกาศก้องว่า ตัวเองเป็นลูกชายคนโตของคุณ เนวิน และคุณกรุณา ชิดชอบ คงเป็นไปไม่ได้ที่คุณเนวินจะไม่ได้รับรู้อะไรล่วงหน้าเลย และหากคุณเนวินรู้ล่วงหน้า ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันว่าคุณอนุทินจะไม่รู้ล่วงหน้า แต่การปฏิเสธว่าไม่รู้ล่วงหน้าของคุณอนุทิน และว่าเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของคุณไชยชนก และยังบอกผู้สื่อข่าวด้วยว่าได้ไลน์ไปขอโทษนายกรัฐมนตรีแล้ว น่าจะเป็นการรักษามารยาททางการเมือง เพื่อบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นเท่านั้น

รศ.หริรักษ์กล่าวว่า จากท่าทีของ สว.สายสีน้ำเงิน จากการที่พรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนโลโก้พรรคโดยเหลือเพียงน้ำเงินสีเดียว จากท่าทีของคุณไชยชนก เลขาธิการพรรค ซึ่งย่อมเป็นท่าทีของคุณเนวินด้วย บอกได้เลยว่าสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนไม่มีวันได้เกิด ที่ว่าเลื่อนก็คือเลื่อนไปตลอดกาลนั่นเอง

"ไม่เพียงสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนไม่มีวันได้เกิด แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณชัดว่า รัฐบาลชุดคุณแพทองธาร ชินวัตร ที่มีคุณทักษิณ ชินวัตร กำกับอยู่ด้านหลัง และบางครั้งก็ออกหน้าเสียเอง กำลังจะถึงจุดจบในอีกไม่นานนี้ และไม่เพียงจะถึงจุดจบ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าทั้ง 2 คนอาจจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยต่อไป  อีกนานเท่าใด ไม่อาจทราบได้" รศ.หริรักษ์ระบุ

ส่วนนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความเรื่อง  ทักษิณ : นายกฯ ตัวจริง ยิ่งนานวัน ยิ่งชัดเจน ระบุว่า ถ้าใครติดตามสถานการณ์การเมืองตั้งแต่วันที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  จะเห็นว่าเป็นได้แค่นายกฯ หุ่นเชิด หรือนายกฯ นอมินีเท่านั้น นายทักษิณ ชินวัตร ต่างหากที่เป็นนายกฯ ตัวจริง เพราะภาพที่เห็นปรากฏชัดขึ้นทุกวัน เห็นได้จากพฤติการณ์และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น 1.ความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ตกอยู่ในสายตาและความสนใจของสื่อมวลชนมากกว่า น.ส.แพทองธาร ทุกครั้งที่ปรากฏตัวพร้อมกัน 2.นายทักษิณให้สัมภาษณ์อะไร หรือการแสดงวิสัยทัศน์ใดๆ นั่นคือทิศทางของรัฐบาลชุดนี้ 3.พรรคร่วมรัฐบาลเชื่อฟังและยอมรับการสั่งการของนายทักษิณเพียงคนเดียว 4.นายทักษิณทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนรัฐไทย ติดต่อกับต่างประเทศในฐานะรัฐบาล เช่น การต้อนรับนายนเรนทรา โมดี หรือการพบกับนายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย

5.นายทักษิณอยู่เบื้องหลังการบริหารประเทศ และทำหน้าที่ประสานงานกับต่างประเทศด้วยตัวเอง เช่น ได้ยกหูโทรศัพท์เจรจากับคนรอบข้างของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องกำแพงภาษี  6.นายทักษิณประกาศจะเดินทางไปเจรจาเรื่องกำแพงภาษีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยตัวเอง คงเห็นว่าทีมไทยแลนด์ของรัฐบาลไม่มีฝีมือเพียงพอ 7.ถ้าหากผู้นำประเทศอาเซียนจะยกหูโทรศัพท์คุยกับผู้นำประเทศไทย ต้องคุยกับนายทักษิณเพียงคนเดียว ไม่จำเป็นต้องคุยกับ น.ส.แพทองธารเลย ล่าสุด นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จะเดินทางมาพบกับนายทักษิณอีก

หลังสงกรานต์การเมืองระอุ

วันเดียวกัน ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลังสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 10-14 เม.ย. พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ เกือบ 3 ใน 4 หรือ 74.2% มีแนวโน้มคาดหวังหรืออย่างน้อยเชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงหลังสงกรานต์ ซึ่งสะท้อนภาวะความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบัน ขณะที่มีเพียง 25.8% ที่เชื่อว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกไม่แน่นอนที่ปกคลุมบรรยากาศทางการเมือง

ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อผู้ตอบเลือกได้มากกว่าหนึ่งสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสะท้อนว่าความขัดแย้งภายในรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคร่วม 36.9% เป็นสาเหตุสำคัญที่ประชาชนมองว่าอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง รองลงมาคือ แรงปลุกปั่นใกล้ตัวผู้นำ 30.6% และกระแสโซเชียล 27.8% ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของประชาชน นอกจากนี้ ประเด็นเศรษฐกิจ 20.5% และนโยบายที่ประชาชนไม่พอใจ 14.9% ก็ถือเป็นแรงกดดันระดับรากฐานที่บั่นทอนความชอบธรรมของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

เมื่อสอบถามถึงตัวการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังสงกรานต์ พบว่า  ประชาชนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะเกิดการปรับคณะรัฐมนตรี 38.4% และความแตกร้าวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล 37.6% ซึ่งเป็นรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่การยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่  แต่สะท้อนความไม่พอใจต่อการบริหารงาน ที่ต้องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 32.1% เชื่อว่าจะมีการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง และ 27.5% คาดว่าจะมีการยุบสภา ซึ่งบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่สถานการณ์จะพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้างระดับชาติ หากรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับแรงกดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ 25.6% ระบุไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นับว่าเป็นส่วนน้อยของผู้ตอบแบบสอบถาม สะท้อนให้เห็นความรู้สึกร่วมของประชาชนส่วนใหญ่ต่อความเปราะบางทางการเมืองในปัจจุบัน

ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจทางการเมืองที่แฝงอยู่ในสังคมไทย ประชาชนส่วนใหญ่มีทัศนะว่ารัฐบาลอาจเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภายในพรรคร่วมและจากแรง

ขับเคลื่อนของประชาชนในระดับฐานราก ความขัดแย้ง การสื่อสารในโลกออนไลน์ และผลกระทบด้านเศรษฐกิจได้ผสานกันเป็นพลังทางสังคมที่อาจเร่งเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ได้

ทั้งนี้ ทางออกคือเร่งเสริมเอกภาพและความร่วมมือในพรรคร่วมรัฐบาล ขอยกกรณีประเทศเยอรมนีและประเทศญี่ปุ่นเป็นแนวทาง โดยประเทศเยอรมนีจะมีข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก่อนการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ เอกสารนี้มีสถานะเสมือนคู่มือที่ชัดเจนในทุกด้าน ทั้งนโยบายเศรษฐกิจ สังคม พลังงาน การคลัง และต่างประเทศ โดยแต่ละพรรคต้องยึดถือร่วมกัน และเป็นเกณฑ์ประเมินความรับผิดชอบระหว่างพรรค ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีการประชุมหารือร่วมอย่างสม่ำเสมอ โดยมีคณะทำงานเจาะจงด้านนโยบาย เช่น ความมั่นคง ประชากรสูงวัย หรือภาษี เพื่อป้องกันความเห็นต่างไม่ให้ลุกลามกลายเป็นวิกฤต

นอกจากนี้ ยังตกลงแบ่งงานใน ครม.อย่างชัดเจนตามจุดแข็งของแต่ละพรรค ผลที่คาดว่าจะได้รับคือการลดการวิจารณ์กันเองภายในรัฐบาล สร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและนักลงทุนระหว่างการดำรงตำแหน่งรัฐบาลผสม และน่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพรัฐบาลได้ยาวนาน แม้จะมีพรรคร่วมที่มีรากฐานอุดมการณ์ต่างกัน

"หากพรรคร่วมรัฐบาลขาดกลไกการประสานนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้เกิดการส่งสัญญาณขัดแย้งในที่สาธารณะ ลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และสร้างแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน" ผอ.ซูเปอร์โพลระบุ. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย