พิงอาเซียนสู้ทรัมป์ ธปท.ชี้4ปัจจัยเสี่ยง

นายกฯ ย้ำไทยจับตาท่าทีสหรัฐใกล้ชิดทุกมุม เชื่ออเมริการอดูฟีดแบ็กรอบโลกเช่นกัน มั่นใจพลังอาเซียนสร้างอำนาจต่อรองรับมือ “ภาษีทรัมป์” ให้รอดไปด้วยกัน “เผ่าภูมิ” ฟุ้งคุย “JP Morgan-Moody’s-S&P” มั่นใจคงเครดิตไทย ธปท.ชี้ระบบการเงินยังแกร่ง จับตาสงครามการค้าปัจจัยเสี่ยง "ศิริกัญญา" ไม่เชื่อใจคลังจ่อกู้ 5 แสนล้าน แนะรัฐบาลปรับงบ 69 ใหม่ เตรียมเม็ดเงินพยุง ศก.

ที่ราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 24   เมษายน เวลา 11.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ระหว่างการหารือกับสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ได้มีการพูดคุยถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษี ซึ่งเชื่อว่าทุกคนที่ประเทศไทยได้ติดตามสถานการณ์และเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่สหรัฐให้เวลา 90 วัน ตอนนี้ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ซึ่งประเทศไทยเลือกที่จะดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด และติดตามในทุกมุมทุกด้าน ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง ต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง

“คิดว่าสหรัฐอเมริกาเองก็ต้องรอดูเหมือนกันว่าผลตอบรับที่ออกไปทั่วโลกเป็นอย่างไร มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการคำนวณและกฎต่างๆ ที่ออกมานั้นค่อนข้างเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับทั่วโลก และเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้นสหรัฐอเมริกาก็ต้องดูสถานการณ์เช่นกัน เช่นเดียวกับเรา แต่อาจจะดูคนละมุม ที่จะต้องดูสถานการณ์ ดูอุณหภูมิ ดูความเป็นไปได้ของทั่วโลกด้วย ซึ่งดิฉันมองว่าเป็นสิ่งที่แฟร์ แต่ก็ต้องดูก่อนว่าแต่ละประเทศจะมีท่าทีอย่างไร เราเองก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องของความรอบคอบ การเตรียมข้อมูลให้พร้อมที่ประเทศไทยทำอยู่ตอนนี้ เราก็ยังอยู่ในทิศทางที่กำหนดไว้ (on track) เราไม่ปล่อยให้หลุดมือไปไหน เรายังโฟกัสว่าเราสามารถทำอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง” น.ส.แพทองธารระบุ

นายกฯ กล่าวว่า การที่ได้มาพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เราได้พูดคุยถึงกรอบความร่วมมือของอาเซียนว่าแต่ละประเทศมีความแข็งแรงของตัวเองอย่างไรบ้าง และถ้ามารวมกันในกรอบของอาเซียนทำอะไรได้บ้าง เพราะแต่ละประเทศมีทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร และมีจุดแข็งอีกมาก ถ้ามาร่วมกันแล้วเพิ่มอำนาจการต่อรองจะเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งยังเป็นเพียงแค่แนวความคิด ยังไม่มีการลงนามหรือเซ็นเอกสารใด ทั้งนี้ ได้คุยกับผู้นำในประเทศอาเซียนมาบ้างแล้วเช่นเดียวกัน และเห็นตรงกันว่าถ้าเราร่วมมือกันในกลุ่มอาเซียนจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ จะสามารถมีอำนาจในการต่อรอง ซึ่งเราพร้อมที่จะร่วมมือกัน หากมีการขึ้นกำแพงภาษีจะรอดไปด้วยกัน เพราะเรามีสิ่งที่มีความเฉพาะของประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทวีปอื่นไม่มีเหมือนอาเซียน

พลังอาเซียนสู้ทรัมป์

“สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่เราต่อรองได้อย่างแข็งแรง เมื่อได้คุยแล้วก็ดีใจที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนก็เห็นตรงกันในเรื่องนี้ เพราะการที่เราจะต่อรอง จะต้องต่อรองอย่างคนที่จะเจรจาแบบเป็นเพื่อนกัน ต่อรองแบบไม่ต้องเสียเปรียบหรือได้เปรียบในช่องว่างที่ใหญ่จนรับไม่ได้ แต่ต้องต่อรองให้เราและเขาก็เข้มแข็งเช่นกัน ต้องวินวินทั้งคู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นตรงกัน” นายกฯ ระบุ

เมื่อถามว่า การที่เรารอจังหวะสังเกตดูท่าทีของสหรัฐก่อนที่จะเจรจา เป็นผลดีต่อไทยใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าเช่นนั้น เพราะสหรัฐเองสังเกตและดูท่าทีของรอบโลกเช่นกัน เราจึงต้องดูว่าอะไรเกิดขึ้น และจุดไหนเป็นจุดที่เหมาะที่เราจะต้องรอในรายละเอียด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจับตาดูอยู่ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าไม่ต้องห่วง เพราะรัฐบาลปรึกษาทางเอกชนด้วย ทั้งผู้ประกอบการที่ลงทุนในสหรัฐ เพราะอยากรู้ความเคลื่อนไหวว่าสามารถจะทำอะไรได้บ้างให้ครบถ้วน

ทางด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วงการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประจำปี 2568 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ ได้หารือกับสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency: CRA) 3 สถาบัน ได้แก่ JP Morgan-Moody’s และ S&P โดยได้ชี้แจงว่า ไทยกำลังเข้าสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากเผชิญกับภาวการณ์เติบโตในระดับต่ำมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนจากนโยบายทางการค้าของสหรัฐยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรัฐบาลไทยได้เตรียมความพร้อมทั้งนโยบายทางการคลัง นโยบายทางการเงิน รวมถึงการใช้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อรับมือความผันผวนดังกล่าวด้วยความระมัดระวัง

“ไทยยังคงรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ สถาบันการเงินทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีความมั่นคง โดยธนาคารพาณิชย์มี BIS Ratio อยู่ที่ 20.12% สะท้อนถึงฐานะการเงินที่มั่นคง มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่า 2.47 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นกันชนสำคัญรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ” นายเผ่าภูมิระบุ

ด้านการคลัง รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบริหารหนี้สาธารณะเชิงรุกและการรักษาวินัยในการชำระหนี้ แม้ว่าวิกฤตโควิด-19 จะส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินจนทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยหนี้สาธารณะคิดเป็น 64.21% ของจีดีพี และสัดส่วนหนี้สาธารณะในสกุลเงินต่างประเทศมีเพียง 0.90% ของจีดีพี เมื่อเทียบตัวเลขหนี้ภาครัฐบาลของไทยตามหลักสากลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF จะอยู่ที่ 58.50% ต่อจีดีพีเท่านั้น อีกทั้งไทยยังคงรักษาความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างดี

อย่างไรก็ดี ด้วยความเข้มแข็งดังกล่าว มีแนวโน้มสูงที่ไทยจะได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Sovereign Credit Rating) อยู่ในระดับ BBB+ ของ S&P เทียบเท่ากับ Baa1 ของ Moody’s และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ ซึ่งอยู่ในระดับน่าลงทุนต่อไป

วันเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานเสถียรภาพระบบการเงินไทยปี 2567 โดยระบุว่า ที่ผ่านมา ระบบการเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภาพ สามารถสนับสนุนกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจจริงสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยรวมยังมีฐานะการเงินเข้มแข็งแม้คุณภาพหนี้ด้อยลง นอกจากนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปรับลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงการลดหนี้ ที่จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคการเงินที่อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและนอกประเทศ อาทิ นโยบายการค้าและนโยบายภาษีของประเทศต่างๆ ปัญหาเชิงโครงสร้างของบางภาคธุรกิจ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะข้างหน้า ได้แก่

จับตา 4 ปัจจัยเสี่ยง

1.ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปราะบางและอ่อนไหวต่อทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก อาจนำไปสู่การขายสินทรัพย์ที่ทำให้ราคาปรับลดลง 2.ภาวะการเงินที่อาจตึงตัวมากขึ้นและส่งผลต่อสภาพคล่องของธุรกิจและครัวเรือน รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ จะเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมต่อการลงทุน การค้าและการแข่งขันกับสินค้าจีนที่เข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการจ้างงานและรายได้ครัวเรือน ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนลดลง จะเป็นปัจจัยกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในระยะข้างหน้าได้

3.บริษัทขนาดใหญ่บางรายมีการก่อหนี้ในระดับสูง โดยหากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากนโยบายการค้าของประเทศต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและการชำระหนี้ของบริษัทขนาดใหญ่ 4.ฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด และมีฐานะการเงินอ่อนแออยู่แล้วในช่วงก่อนหน้า อาจมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง และกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินที่เปราะบางอยู่แล้ว ทำให้ความเสี่ยงในระบบการเงินปรับเพิ่มขึ้นได้ (รายละเอียดหน้า 3)

ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาชน  กล่าวถึงกรณีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ วงเงินไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาทว่า รัฐบาลยังไม่ได้ระบุที่มาของเงิน 5 แสนล้านบาทอย่างชัดเจน ว่าจะกู้หรือไม่ ซึ่งหากกระทรวงการคลังใช้เม็ดเงินในงบประมาณปี 2568 ที่เตรียมไว้สำหรับทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1.5 แสนล้านบาท มาใช้ด้วยจะทำให้กู้น้อยลง และอาจไม่ต้องกู้เลยก็ได้ ทั้งนี้ ให้รัฐบาลประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้ทำอะไร หากเลือกวิธีกระตุ้นผิดจะไม่มีทางกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และไม่เชื่อใจว่าจะกู้แล้วไม่เอามาแจกเหมือนเดิม

สำหรับเงินก้อนใหม่ที่สำคัญ ซึ่งสามารถจัดใหม่ได้เลย คืองบประมาณปี 2569 ขอเรียกร้องให้รัฐบาลนำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ไปปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเตรียมเม็ดเงินที่จะใช้ในการพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย หรือชะลอตัวอัน เนื่องมาจากสงครามทางการค้า หากจัดใหม่ได้ 3 แสนล้านบาท ไม่จำเป็นที่จะต้องกู้ ทั้งนี้ หากนำร่างกฎหมายเข้าสภาช้าไป 1-2 สัปดาห์ คิดว่าสภาไม่มีปัญหาที่จะใช้เวลาลดลงในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลาก‘ภท.’เอี่ยวฮั้วสว. ปูด10ชื่อทั้งรมช.พณ.-อดีตสส./สีน้ำเงินชงคุ้ยตัวสำรองด้วย

สภาสูงเรียงหน้าเข้ารับทราบข้อหาจาก กกต.คดีฮั้ว ลั่นไร้กังวลพร้อมชี้แจง “สิทธิกร” ข้องใจดีเอสไอ ต่อไปการเลือกตั้งทุกแบบมีอำนาจตรวจสอบ

นายกฯ รับรายงาน อินโดฯ จับเรือประมง 'Aungtoetoe99' ขนยาเสพติด ยันไม่ใช่เรือไทย

นายกฯ รับทราบรายงานเรือประมง 'Aungtoetoe99' โดนจับขนยาเสพติดที่อินโดฯ ศรชล. ยันไม่ใช่เรือไทย ย้ำรัฐบาลร่วมมือกับทุกประเทศจัดการกับผู้กระทำความผิดในทุกมิติ