คลังโทษทรัมป์ฉุดจีดีพี

"พิชัย" สบช่องอ้างมาตรการภาษีสหรัฐฉุดจีดีพีไทยโตไม่ถึง 3% ตามที่คาดไว้ ปากแข็งงบปี 69 ไม่เน้นกู้ โยกจากโครงการไม่จำเป็นมาใช้ในโครงการจำเป็น แต่ไม่ตอบโยกงบแจกเงินหมื่นด้วยหรือไม่ ด้าน ผอ.สศค.เผยปรับลดจีดีพี 68 เหลือ 2.1% อ้างปรับลดทั่วโลก ขณะที่ Moody’s ปรับลดความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินไทย 7 แห่งเป็นลบ

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นั้น เดิมคาดว่าจะขยายตัวได้เกิน 3% อย่างแน่นอน หากไม่มีผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ แต่เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงนี้เข้ามา ก็ต้องยอมรับว่าทั่วโลกจะสะดุดเหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่แค่ไทย ซึ่งรัฐบาลได้มีการเตรียมมาตรการเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวแล้ว โดยแนวทางหนึ่งคือการทบทวนงบประมาณปี 2569 โดยเฉพาะในโครงการที่ไม่เร่งด่วน ต้องไปดูว่าจะปรับเปลี่ยนได้อย่างไร เพื่อนำมาใช้ในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน

“ถามว่าจะเอาเงินมาจากไหนเพื่อเตรียมพร้อมรองรับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะชะลอตัวลง คงต้องบอกว่าตรงนี้มีหลายวิธี  แต่เวลานี้เรื่องการสร้างหนี้ใหม่คงเป็นโจทย์สุดท้ายของรัฐบาลที่จะทำ ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ทำถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ ดังนั้นโจทย์แรกที่รัฐบาลมองคือการทบทวนงบประมาณปี 2569 โยกมาใช้ในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วนก่อน ข้อสำคัญของการใช้เงินคือ จะต้องมีโครงการให้ชัดเจน”

ทั้งนี้ จะต้องมีการทบทวนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วยหรือไม่นั้น นายพิชัยระบุว่า งบประมาณปี 2569 จะมีส่วนของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอยู่ไม่มาก มีเพียงนิดหน่อยเท่านั้น โดยยังไม่อยากไปพูดว่าจะมีการทบทวน จะตัดงบหรือไม่ตัดงบโครงการนี้ด้วยหรือไม่ คงต้องให้หน่วยงานกลับไปพิจารณาดูก่อน

นายพิชัยยังให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาว่า ในเรื่องกำแพงภาษีเราได้เตรียมไปตรงแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปเข้าใจว่าทางฝั่งสหรัฐต้องการดูแผนที่สามารถจับต้องได้มากขึ้น และทั้งสองประเทศได้ผลประโยชน์อะไรร่วมกันบ้าง เขาคงอยากดูถึงความเป็นไปได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราได้ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แต่ที่เราห่วงคืออันที่ไม่เกี่ยวกับภาษีมากกว่า เช่น เรื่องกติกาต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ สหรัฐคงพิจารณาว่าบ้านเรามีอะไร น่าจะเป็นส่วนนี้มากกว่าที่เราจะต้องเตรียมโจทย์ เตรียมคำตอบ

ด้านนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ได้ปรับประมาณการจีดีพีปี 2568 ลงเหลือ 2.1% โดยอยู่ในช่วงคาดการณ์ที่ 1.6-2.6% จากคาดการณ์เดิมที่ 3% เป็นผลจากแรงกดดันด้านการค้าโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า

ขณะที่แนวโน้มการส่งออกปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.3% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.4% ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม การประกาศเลื่อนการบังคับใช้นโยบาย Reciprocal Tariff ออกไป 90 วัน และกรณียกเว้นสินค้าบางประเภท เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ของสหรัฐ ได้บรรเทาผลกระทบของการส่งออกของไทยลงบางส่วน ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้า คาดว่าจะทรงตัวที่ 1% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 3.4% โดยมองว่านโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐในระยะต่อไปยังคงมีความไม่แน่นอน และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจไทยและประเทศคู่ค้าอย่างมีนัยสำคัญ จำเป็นต้องมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าของสหรัฐและประเทศคู่ค้าของไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป

“การปรับลดคาดการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เป็นการปรับลดคนเดียว มีหลายหน่วยงานที่ได้ปรับลดไปก่อนหน้านี้แล้ว จากสถานการณ์การค้าโลกที่ไม่ได้เป็นปกติ โดยคลังได้เตรียมความพร้อมและดูแลภายในประเทศ โดยเฉพาะการเร่งรัดการเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยการเบิกจ่ายปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว หากช่วงที่เหลือหากสามารถเบิกจ่ายได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 98% ได้ โอกาสที่เศรษฐกิจจะขยายตัวได้สูงกว่าคาดการณ์ก็เป็นไปได้เช่นกัน ขณะเดียวกันยังเตรียมบูรณาการมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงการคุณสู้ เราช่วย จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าที่ประเมินไว้ได้” นายพรชัยกล่าว

ทั้งนี้ ปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวดี  โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% ตามกำลังซื้อในประเทศและรายได้ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 36.5 ล้านคน ขยายตัว 2.7% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ 0.4% สำหรับการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 2.8% จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จะมีการเร่งรัดเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปีงบประมาณ 2568 ต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 69

มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ได้ปรับลดมุมมอง (outlook) ความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินไทย 7 แห่งเป็นลบ (negative) จากคงที่ (stable) ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL), ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIMT), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK),  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB), บริษัท เอสซีบี เอ็กซ์ จำกัด (SCBX), ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB)

Moody’s ระบุว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก Moody’s ปรับลดมุมมองแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับรัฐบาลไทยจาก Stable มาที่ Negative แม้ว่าจะยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับเดิม โดยอันดับเครดิตสำหรับ Issuer และ Local Currency Senior Unsecured Ratings ของรัฐบาลไทยยังคงอยู่ที่ระดับ Baa1 เช่นเดียวกับ Foreign Currency Commercial Paper Rating ที่ยังคงอยู่ที่ระดับ P-2

โดยการปรับลดนี้ “สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทยที่อ่อนแอลงอีก ท่ามกลางภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐและความไม่แน่นอนของโลกที่เพิ่มมากขึ้น ภูมิหลังทางเศรษฐกิจมหภาคที่เสื่อมถอยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโปรไฟล์เครดิตของธนาคารไทย ซึ่งประสบปัญหาอยู่แล้วจากการเติบโตของสินเชื่อและปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ที่ด้อยลงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา นอกจากนี้ยังอาจทำให้รัฐบาลไทยไม่สามารถให้การสนับสนุนธนาคารต่างๆ เมื่อจำเป็นได้” Moody’s ระบุ

“หากอันดับเครดิตของประเทศไทยถูกปรับลด จะส่งผลให้สถาบันการเงินของไทยทั้ง 7 แห่งที่กล่าวถึงข้างต้นได้รับการปรับลดอันดับไปด้วย เนื่องจากสถาบันรับฝากเงินระยะยาวและ/หรือผู้ออกตราสารเหล่านี้มีการสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มขึ้น และ/หรืออยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตของประเทศ” Moody’s กล่าว

ขณะที่ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ไม่เพียงแต่ IMF หรือ Moody’s เท่านั้น ที่ปรับระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ธนาคารโลก (World Bank) ยังปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือโต 1.6%

ขณะเดียวกัน เปรียบเทียบอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก พบว่า มองโกเลีย โต 6.3%, เวียดนาม โต 5.8%, ฟิลิปปินส์ โต 5.3%, อินโดนีเซีย  โต 4.7%, จีน โต 4.0%, กัมพูชา โต 4.0%, มาเลเซีย โต 3.9%, สปป.ลาว โต 3.5% ส่วนประเทศไทย โต 1.6% เท่านั้น

"ขนาดคนบางคนในรัฐบาล ในเรื่องค่าเงินบาทอ่อนแข็งที่มีผลต่อเศรษฐกิจประเทศอย่างไรยังไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจแท้ๆ เรื่องยากๆ อย่างระบบเศรษฐกิจโดยรวมจะเข้าใจได้อย่างไร นี่คือปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข" โฆษกพรรคพลังประชารัฐกล่าว.

เพิ่มเพื่อน