‘ดีเอสไอ’ชงกกต. เส้นเงิน500ล้าน เชือดฮั้วเลือกสว.

"ดีเอสไอ" ส่งข้อมูลวิเคราะห์ปมฮั้ว สว. 67 ให้ “กกต.” พิจารณาเรื่องกฎหมายเลือกตั้ง ทั้งข้อมูลเส้นทางการเงิน สะพัด! ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ  ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท พบพฤติการณ์บุคคล ผลคะแนน การกาเบอร์ซ้ำกันหลายฉบับ ชี้อำนาจพิจารณาคดีเป็นของกกต.ชงยื่นศาลฎีกานักการเมือง ส่วนคดีฟอกเงินและอั้งยี่ ดีเอสไอรับเป็นหัวเรือฟันอาญา กลุ่มคนเส้นเงินถึงกันตั้งคณะบุคคลร่วมกันจัดฮั้ว

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม มีรายงานว่า จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้อนุมัติให้ทำการสอบสวนกรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จากนั้นมีการลงพื้นที่สืบสวนสอบสวน ขยายผล รวบรวมพยานหลักฐาน อีกทั้งกรณีที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 3 ราย คือ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายระวี อักษรศิริ ผอ.กองคดีการฟอกเงินทางอาญา และนายเอกรินทร์ ดอนดง ผอ.ส่วนวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์พิเศษของคดีเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เป็นคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน ให้มีหน้าที่และอำนาจในการสืบสวนและไต่สวนเรื่องคัดค้านการเลือก สว.ในทุกพื้นที่ตามที่ได้รับมอบหมาย

และต่อมาวันที่ 25 เม.ย. 2568 ดีเอสไอร่วมกับ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ในฐานะผู้นำกลุ่ม สว.สำรอง เข้าสังเกตการณ์ตรวจสถานที่คัดเลือก สว.ระดับประเทศ และจำลองเหตุการณ์ ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี  จ.นนทบุรี เพื่อประกอบการสอบสวนคดีพิเศษในคดีฟอกเงิน สว. (คดีพิเศษที่ 24/2568) และใช้ประกอบการไต่สวนของ กกต. โดยดีเอสไอได้เริ่มดำเนินการสอบสวนรวมเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนภายหลังรับเป็นคดีพิเศษ มีการสอบปากคำพยานทั่วประเทศ สอบปากคำพยานกลุ่ม สว.สำรอง ตรวจสอบข้อมูลทางธุรกรรมธนาคารของบุคคลในขบวนการ ข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์ รวมทั้งรับโอนสำนวนการสอบสวนจาก สภ.รัตนาธิเบศร์ และ สภ.โกสุมพิสัย ที่มีผู้กล่าวหาในความผิดฐานอั้งยี่ มาสอบสวนรวมสำนวนในคดีพิเศษดังกล่าว ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว.เปิดเผยว่า  ภายหลังจากที่ดีเอสไอได้สอบสวนปากคำพยานสำคัญร่วมกับ กกต.จำนวนมากกว่า 30 ราย รวมไปถึงการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวของกลุ่มคณะบุคคล, การตรวจสอบเส้นทางการเงินที่สะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ตั้งแต่การเลือก สว.ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ,  การกาคะแนน, การนับผลคะแนนที่มีการเลือกหมายเลขเดียวกันซ้ำๆ กันหลายชุด เป็นต้น

เมื่อได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์แล้ว พบการกระทำที่เข้าข่ายมีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริตและเที่ยงธรรม พบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 จึงส่งหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดให้สำนักงาน กกต.ประกอบการพิจารณาตามกฎหมายเลือกตั้ง อาทิ การพิจารณาเพิกถอนสิทธิ สว. ซึ่งในส่วนนี้หากมีสว.รายใดก็ตามที่ กกต.ตรวจสอบแล้วเห็นว่ามีการกระทำผิดจริง ก็ให้ กกต.เป็นผู้พิจารณาร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลนั้นต่อพนักงานสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือดีเอสไอก็ตาม และในเรื่องของการดำรงตำแหน่งของ สว. ก็ให้ กกต. ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คาดว่าการดำเนินการของ กกต.อาจจะอยู่ในช่วงกรอบสัปดาห์หน้า

ส่วนเรื่องคดีอาญาที่ดีเอสไอรับผิดชอบ คือความผิดฐานฟอกเงินและอั้งยี่ คณะพนักงานสอบสวนยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากการสอบสวนปากคำพยานทั่วประเทศยังคงดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อจำแนกกลุ่มคนว่าใครมีพฤติการณ์จับกลุ่ม ตั้งเป็นคณะบุคคลอย่างไรบ้าง มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันมากน้อยอย่างไร ซึ่งในการดำเนินคดีแจ้งความผิดฟอกเงินและอั้งยี่ มีความเป็นไปได้ว่าบางคนอาจมีความผิดทั้งสองข้อกล่าวหา ขณะที่บางคนอาจมีความผิดแค่ฐานเดียว ซึ่งดีเอสไอจะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐาน แต่ก็คาดว่าจะอยู่ในกรอบเดือน พ.ค.เช่นเดียวกัน เพราะพยานหลักฐานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นชุดที่ดีเอสไอไปร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกับ กกต. หรือดีเอสไอเป็นหัวเรือหลักเองในคดีอาญา  ก็สามารถใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกันพิจารณาได้

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเปิดเผยอีกว่า หาก กกต.พบ สว.ที่กระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง และมีพฤติการณ์เป็นไปตามการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่สุจริต หรือมีการฮั้วเกิดขึ้นจริง ทั้ง สว.ตัวจริง 138 ราย  และสำรอง 2 รายก็จะถูก กกต.แจ้งดำเนินคดี ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่า สว.เหล่านี้ก็จะมีความผิดในคดีอาญาของดีเอสไอเช่นกัน โดยต้องพิจารณาทั้งความผิดฐานฟอกเงินและความผิดฐานอั้งยี่ โดยเฉพาะความผิดฐานฟอกเงิน ก็ต้องดูว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องในเส้นทางการเงินจำนวนกี่บาท  มีการจ่ายรับโอนช่วงวันเวลาใดบ้าง เพราะความผิดฐานฟอกเงินพิจารณาเป็นรายกรรม อีกทั้งการฮั้วเกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบ คือการฮั้วแบบใช้เงินและไม่ใช้เงิน ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นการฮั้วในรูปแบบลักษณะใดก็ตามและโดยผู้ใดก็ตาม  หากเป็นหนึ่งในขบวนการย่อมมีความผิด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.