“นายกฯ อิ๊งค์” สั่งทุกกระทรวงหาทางช่วยสินค้าเกษตรไทยล้นตลาด "กมธ.พาณิชย์-กมธ.ต่างประเทศ" จ่อเชิญ 3 รมว. "คลัง-พณ.-กต." ประชุมลับ แจงแนวทางเจรจาภาษีทรัมป์ "กกร." เคาะกรอบจีดีพีใหม่ โตต่ำกว่าเดิม อยู่ที่ 2-2.2%
ที่กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม เวลา 11.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า โดยกล่าวเปิดการประชุมตอนหนึ่งว่า ได้เชิญปลัดกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยเรื่องของมาตรการการสวมสิทธิสินค้าไทย การแก้ปัญหาสินค้า และเรื่องธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายในไทย จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงช่องโหว่ทางกฎหมายที่จะเอื้อต่อการสวมสิทธิและการประกอบธุรกิจที่มีลักษณะเป็นนอมินี ขอให้เข้มงวดในเรื่องของการตรวจสอบสินค้า มาตรฐานสินค้าคุณภาพต่างๆ อีกเรื่องที่ต้องทบทวนคือเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนการจ้างงานแรงงานไทย และใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ
นอกจากนี้ บทบาทหนึ่งที่สำคัญของกระทรวงพาณิชย์ คือการเร่งส่งเสริมสินค้าเกษตรไทย ปัจจุบันสินค้าการเกษตรต่ำกว่าทุกปี ขอให้เร่งดำเนินการเรื่องนี้ และได้ทราบรายงานมาว่าผลไม้ไทยปีนี้หลายชนิดจะล้นตลาด อย่างแรกขอการสนับสนุนจากส่วนราชการทุกกระทรวง ถ้าจะมีการซื้อจากเกษตรกร ช่วยกันปรึกษากับกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้มีการซื้อสินค้าของประชาชนด้วย และสนับสนุนสินค้าเกษตรหลายๆ สินค้าไม่ให้ล้นตลาด คงต้องเริ่มทำแพลนว่าจะใช้เรื่องการจัดซื้อสินค้าอย่างไรได้บ้าง ขาดตรงไหน หรือต้องเติมตรงไหนบ้าง
"อย่างที่พูดไปเรื่องราคาสินค้า อยากให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยหามาตรการทำราคาสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ และเรื่องพ่อค้าคนกลางไม่อยากให้มี เพราะราคาถูกกดไปเยอะ และเพิ่มต้นทุนเยอะ ต้องขอความร่วมมือกับภาคเอกชนด้วย ขอให้ลองคุยกับทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จะสามารถให้เอกชนร่วมมืออย่างไรได้บ้าง ซึ่งดิฉันก็พร้อมสนับสนุน ขอให้บอกและวางแผนมาได้ จะคุยวงเล็กอีกที และตอนนี้เองที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบหลักๆ คือการขับเคลื่อนการค้าการลงทุน และเรื่องการรับมือผลกระทบมาตรการทางการค้าของสหรัฐ เรากำลังทำอยู่ แต่พยายามใช้เรื่องของ FTA อื่นๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเรื่องดุลราคาต่างๆ เรื่องนี้ให้ดูประกอบกันไปด้วยว่ามีอะไรสามารถบาลานซ์ หรือทำให้สมูทได้" นายกฯ ระบุ
ที่รัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายขื่อ พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร และรองประธาน กมธ.การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเชิญ รมว.การคลัง, รมว.พาณิชย์ และ รมว.การต่างประเทศ เข้าชี้แจงทั้ง 2 กมธ.ว่า วันนี้ได้ยื่นหนังสือถึงประธาน กมธ.พาณิชย์ฯ และประธาน กมธ.การต่างประเทศ เพื่อขอให้เรียกประชุมทั้งสองคณะ และขอให้เป็นการประชุมลับ เพื่อให้รัฐมนตรีทั้ง 3 คนชี้แจงในเรื่องการเตรียมการเจรจาด้านภาษีและมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดกับการส่งสินค้าไทยไปยังสหรัฐ และการเตรียมตัวของประชาชน รวมถึงบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการช่วยเหลือคณะเจรจาของไทย ว่าบทบาทของ รมว.การต่างประเทศจะมีส่วนร่วมในการเจรจาอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ กมธ.จะมีความเห็นและเสนอแนวทางต่อไป เพื่อส่งให้รัฐบาลพิจารณาด้วย
วันเดียวกัน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมีสภาหอการค้าไทยและสมาคมธนาคารไทยร่วมด้วยว่า ที่ประชุมคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.0-2.2% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.4-2.9% โดยปัจจัยหลักจากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐ โดยประเมินภายใต้สถานการณ์ที่ไทยถูกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่อัตรา 10% ในช่วงไตรมาส 2/68 และอัตราภาษีในครึ่งปีหลังยังอยู่ที่ 10% ที่ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกทั้งปีเติบโตเพียง 0.3-0.9% จากประมาณการเดิมที่ 1.5-2.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำที่ 0.5-1.0% ลดลงจากประมาณการเดิมเช่นกัน แต่ถ้าไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 36% ในครึ่งปีหลัง จีดีพีปี 68 จะโตเพียง 0.7-1.4% เหตุจากการส่งออกทั้งปีอาจหดตัวได้มากถึง -2%
"มาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐ กดดันภาคการส่งออก รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและ SME ภาษีศุลกากรที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บจะกระทบสินค้าส่งออกหลายกลุ่ม หากถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่อัตรา 36% มูลค่าส่งออกของไทยไปสหรัฐอาจจะหายไปสะสมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี นอกจากนี้ ยังเพิ่มแรงกดดันต่อกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกจ้างประมาณ 3.7 ล้านคน และ SME เกือบ 5 พันราย ซึ่งต่างมีข้อจำกัดในการปรับตัวต่อภาวะผันผวนที่รุนแรงขึ้น" นายเกรียงไกรระบุ
ขณะที่ปัจจัยลบจากสงครามการค้าสามารถก่อให้เกิดหลุมรายได้ขนาดใหญ่ถึง 1.6 ล้านล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเจรจากับสหรัฐเพื่อลดภาษีให้สำเร็จ ประกอบกับยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในภาวะที่ตลาดสินค้ามีการแข่งขันรุนแรงขึ้น ซึ่งที่ประชุม กกร.สนับสนุนภาครัฐในการดำเนินแนวทางการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดจากสถานการณ์เบี่ยงเบนทางการค้า จากมาตรการขึ้นภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐ โดยเฉพาะการใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศไทยที่มีแนวโน้มที่จะได้รับความเสียหายจากการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าปกติ
นายเกรียงไกรกล่าวว่า กกร.ยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดสหรัฐ โดยนายกรัฐมนตรีได้มีการหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาหอการค้าฯ ถึงแนวทางการเพิ่มความเข้มงวดในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไปของไทยให้มากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร.ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้ โดยควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป และการสื่อสารเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทหารไทยเสียขาที่9คา‘จีบีซี’
ไทยยัน จม.ของ “เตีย เซ็ยฮา” มีนัยขอเจรจาหยุดยิง-เสนอให้ถอยกำลังทหารไปอยู่ที่จุดเดิม
‘นํ้าเงิน-ส้ม’เปิดศึก! ‘หนู’ลั่นพรรคใดแก้ม.112ไม่ร่วมด้วย-‘เท้ง’ท้าแข่งกันจัดตั้งรัฐบาล
“ภูมิใจไทย” ขยับใหม่ ประกาศแคนดิเดตนายกฯ 2 คน “อนุทิน-สีหศักดิ์” ผวา! ส่งชื่อคนเดียวสุ่มเสี่ยง ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้
กรมศิลป์รับมอบไม้จันทน์หอมสร้างพระโกศฯ
กรมสมเด็จพระเทพฯ มีพระราชวินิจฉัยแบบพระโกศจันทน์ยอดมหามงกุฎสมพระเกียรติ "พระพันปีหลวง"
กกต.กทม.คุมเข้ม รับสมัครสส.เขต ที่ศูนย์ไทย-ญี่ปุ่น
กกต.กทม.พร้อม 90% เปิดศูนย์ไทย-ญี่ปุ่น รับสมัคร สส.กทม. 33 เขต 27-31 ธ.ค.
จัดเก็บรายได้วืด2.8หมื่นล. คลังลุยกู้ชดเชยการขาดดุล
คลังจัดเก็บรายได้ 2 เดือนแรกของปีงบ 69 ไม่เข้าเป้า วืด 2.8 หมื่นล้านบาท
21ม.ค.ชี้ชะตา ‘ภูมิธรรม-ทวี’ สว.เคาะ2ปปช.
ศาลรัฐธรรมนูญนัดยื่นคำแถลงปิดคดี 6 ม.ค. ก่อนแถลงคำวินิจฉัย 21 ม.ค.

