หมายจับ3กลุ่ม พันตึกสตง.ถล่ม มีผู้สูญหายอีก8

ตำรวจจ่อออกหมายจับ 3 กลุ่มเอี่ยวตึกถล่มสัปดาห์หน้า กทม.ปรับตัวเลขผู้สูญหายเหลือ 8 ราย หลังตรวจพบ 3 คนอยู่บ้าน  สภาทนายฯ มอบเงินเยียวยาจากไชน่าเรลเวย์ฯ  ชุดแรก 21 ราย “กมธ.ป.ป.ช.” เรียกกรมบัญชีกลางให้ข้อมูลเพิ่ม 14 พ.ค.

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกรณีเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พังถล่มว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนยังคงอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อม พยานวัตถุ เช่นเหล็กที่ใช้มีลักษณะอย่างไร รวมถึงเอกสารที่มีการขอมาตั้งแต่เริ่มทำทีโออาร์โครงการ สัญญาการจ้าง ทั้งการออกแบบ การจ้างควบคุมงาน และจ้างการก่อสร้าง

เบื้องต้นตำรวจได้มองแนวทางการดำเนินคดีไว้ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ออกแบบ ซึ่งประกอบด้วยกรรมการผู้มีอำนาจ วิศวกรที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มผู้ควบคุมงาน  เช่น กรรมการผู้มีอำนาจ วิศวกรที่เกี่ยวข้องกับกิจการร่วมค้า PKW (พีเอ็น ซิงค์โครไนซ์, ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์, เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ และกลุ่มที่ 3 คือผู้ก่อสร้าง ประกอบด้วยกรรมการผู้มีอำนาจ วิศวกรที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มกิจการร่วมค้า ไอทีดีฯ (อิตาเลียนไทย)-CREC (ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ประเทศไทย)

รอง ผบช.น.กล่าวว่า ขณะนี้มีข้อมูลและข้อเท็จจริงว่า มีการทำทีโออาร์และว่าจ้าง 2 บริษัทในการออกแบบอาคาร ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ส่งแบบไปให้สภาวิศวกร วิศวกรรมสถาน และผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรวจสอบว่าแบบดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายควบคุมอาคารหรือไม่ และในสัปดาห์หน้าจะทราบผลดังกล่าว โดยผลดังกล่าวจะสอดคล้องกับรายงานการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นโดยนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า สิ่งที่มีการออกแบบดังกล่าวมีความไม่สอดคล้องกับกฎกระทรวงและมาตรฐาน ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลจากผู้เชี่ยวชาญในสัปดาห์หน้าในประเด็นการออกแบบ ซึ่งก็จะมี 2 บริษัทที่เกี่ยวข้อง ถัดมาคือประเด็นการก่อสร้างอาคารที่ได้มีการออกทีโออาร์ และมีการว่าจ้างกิจการร่วมค้า 2 บริษัท เบื้องต้นได้มีการนำวัตถุที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่นเหล็กและคอนกรีต ส่งพิสูจน์ในช่วง 7 วันแรกหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวน

ขณะที่ ดีเอสไอและกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้เดินทางไปเก็บหลักฐานจากที่เกิดเหตุและเก็บชิ้นงานทุกวัน ซึ่งเหล็กได้มีการจัดเก็บไปแล้วทั้งหมด 315 ชิ้น ส่วนปูนได้มีการเจาะตั้งแต่บริเวณพื้น เสา ปล่องลิฟต์ ลงมาถึงบริเวณชั้นล่าง ได้ชิ้นส่วนตัวอย่างมาทั้งหมด 75 ชิ้น ได้ทำการตรวจสอบแล้ว และสัปดาห์หน้าจะได้ผลในส่วนนี้ และประเด็นที่ 3 คือการจ้างควบคุมงานก่อสร้าง ที่ได้มีการทำทีโออาร์และว่าจ้างกลุ่มกิจการร่วมค้า ประเด็นเรื่องของการแก้ไขแบบการก่อสร้างผนังปล่องลิฟต์ หรือ Core Lift ซึ่งพบวิศวกรถูกปลอมลายเซ็น ทางพนักงานสอบสวนได้เอกสารข้อเท็จจริงมาแล้ว และผลการตรวจสอบจะออกในสัปดาห์หน้าพร้อมกัน โดยตำรวจได้ประสานข้อมูลการทำงานร่วมกับดีเอสไอ  เบื้องต้นพบว่าจากการสอบปากคำวิศวกร 40 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลงลายมือชื่อ พบในจำนวน 36 คนที่เข้าให้ข้อมูล มี 28 คนอ้างว่าถูกปลอมลายเซ็น ซึ่งก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องตรวจสอบ

   ส่วนการสอบปากคำผู้แทนจาก สตง. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตรวจรับงาน พนักงานสอบสวนมีการสอบปากคำไปแล้ว 36 ปาก โดยหากได้รับผลการตรวจสอบทั้งหมดครบถ้วนแล้ว จะมีการนำมาพิจารณาองค์ประกอบทางกฎหมายเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกรูปแบบ ทั้งในฐานะส่วนบุคคลและนิติบุคคล เช่น กลุ่มวิศวกร ที่มีการลงลายมือชื่อ และยืนยันว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการออกหมายจับกับกลุ่มคนเหล่านี้บางส่วน

ทางด้านนายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (สปภ.กทม.) กล่าวถึงความคืบหน้าการค้นหาผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวว่า วันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา พบจุดต้องสงสัย 3 จุดที่ต้องเร่งดำเนินการ จุดแรกบริเวณโซน D บริเวณด้านข้างของอาคาร ได้ทำการเปิดพื้นที่ออก ความลึกประมาณ 50 เมตรถึงตัวทรายถม ความยาวประมาณ 20 เมตร แต่ไม่พบร่างผู้ประสบภัย  ส่วนโซน A ด้านหน้า เปิดพื้นที่เข้าไปแต่ไม่พบร่างผู้ประสบภัยเช่นเดียวกัน ด้านโซน B ที่ติดกับตัวอาคาร ยังเปิดพื้นที่ลงไปไม่ถึงด้านล่าง เนื่องจากตัวพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ประกอบกับด้านล่างมีเสาที่หักอยู่ 4 เสา ทั้งนี้ K-9 รายงานว่า ในช่วงเช้าทีม K-9 และทีมอาสาฯ เข้าไปค้นหา ยืนยันว่ามีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าได้กลิ่น น่าจะยังมีผู้ที่ติดค้าง รวมทั้งจะค้นหาในช่องลิฟต์         

ส่วนที่ตั้งเป้าว่าหลังจากวันที่ 10 พ.ค.จะหยุดค้นหานั้น นายสุริยชัยกล่าวว่า หากยังมีข้อสงสัยต้องเดินหน้าค้นหาต่อ แต่ถ้าไม่มีจุดไหนที่น่าสงสัยจะหยุด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีผู้สูญหายคงเหลือ 8 ราย เนื่องจากผลการสอบสวนพบว่า รายชื่อผู้ประสบภัยที่แจ้งไว้พบว่ามี 3 รายอยู่ที่บ้าน ซึ่งเป็นลูกจ้างแบบรายวัน และวันที่เกิดเหตุไม่ได้มาทำงานแล้วมีการกลับบ้านไป ดังนั้น ตัวเลขที่คงค้างอยู่ 11 ราย จะเหลือแค่ 8 ราย

ขณะที่ นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ เปิดเผยว่า ในวันที่ 9 พ.ค. เวลา 10.00 น. ที่สภาทนายความ จะมีการจัดงานเเถลงข่าวมอบเงินเยียวยาที่มาจากการเจรจากับผู้แทนกิจการร่วมค้า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ให้กับญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ตึกถล่มชุดเเรก 21 ราย ประกอบด้วย ทายาทผู้เสียชีวิต 12 ราย และทายาทผู้บาดเจ็บ 9 ราย โดยผู้เสียชีวิตจะเยียวยารายละ 1 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บจะเยียวยารายละ 2 เเสนบาท โดยการช่วยเหลือเยียวยานี้จะไม่มีผลผูกพันทางคดี หลังจากนี้หากผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บไม่พอใจ ยังมีสิทธิยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในชั้นศาลได้ โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 103 ราย และบาดเจ็บ 9 คน

ที่รัฐสภา นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบการทุจริตการก่อสร้างอาคาร สตง.ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้ว่าฯ สตง.และผู้บริหาร สตง. มาให้ข้อมูลมาแล้วนั้น ในวันที่ 14 พ.ค. เชิญกรมบัญชีกลางมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.