‘ไอ้โม่ง’ อมเงินฮั้ว หึ่งเลือกสว.นครศรีฯจ่าย2แสน/เปิดชื่อ55วุฒิฯถูกเรียกรับข้อกล่าวหา

ประธาน กกต.ยืนยันการเรียก สว.ชี้แจงเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อมีหลักฐานจึงดำเนินการได้เร็ว หายนะ! คนรับผิดชอบการเลือกตั้ง แต่มีข้อมูลน้อยกว่าดีเอสไอ เปิด 55 รายชื่อสมาชิกวุฒิสภาเรียกรับทราบข้อหาปมคดีฮั้วเลือก สว.   แบ่งเป็น 3 ล็อต ระหว่างวันที่ 19-21 พ.ค.นี้ หึ่งที่นครศรีฯ จ่ายหัวละ 2 แสน รับงวดแรกไปแล้ว 1  แสน อีกครึ่งไอ้โม่งอม!

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 นายอิทธิพร  บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  กล่าวถึงกรณีที่มีหมายเชิญสมาชิกวุฒิสภา (สว.)  มาชี้แจงเรื่องการฮั้วเลือก สว.ว่า เป็นเอกสารแจ้งข้อกล่าวหา เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. ที่ กกต.ตั้งขึ้นเป็นพิเศษ คือคณะที่ 26 ที่มี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. เป็นประธาน  และขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมาช่วยด้วย  เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และเมื่อตรวจสอบพยานหลักฐานเบื้องต้นแล้วพบว่าสามารถนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาได้ จึงได้มีการดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาด้วยการทำหนังสือนัดหมาย กำหนดเวลา ให้บุคคล 53 คนตามข่าวให้มารับทราบข้อกล่าวหา และให้โอกาสชี้แจง แสดงหลักฐานของตัวเอง

ซึ่งการแจ้งให้มาชี้แจง สามารถทำได้ 3 ช่อง ทางคือ ยื่นหนังสือทางไปรษณีย์ คณะกรรมการฯ  ไปยื่นด้วยตัวเอง และติดหมายเรียกไว้หน้าบ้าน กรณีไม่พบเจ้าตัว ซึ่ง สว.ที่ได้รับหมายเรียกต้องเข้าไปชี้แจงกับคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 26 ที่สำนักงาน กกต.

สำหรับกรอบระยะเวลาการพิจารณาหลังจาก สว.เข้ามาชี้แจงแล้ว นายอิทธิพรกล่าวว่า กรอบเวลาของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ มีเวลา 90 วัน แต่สามารถขยายได้ หากเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายบุคคล และเมื่อผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจงแล้วก็จะมีการประมวล พิจารณาวินิจฉัย และเสนอความเห็นไปยังเลขาธิการ กกต. ซึ่งกรอบเวลาของเลขาฯ มีเวลาพิจารณาอีก 60 วัน  

จากนั้นจึงจะเข้าสู่ที่ประชุม กกต. โดยผ่านการพิจารณาของอนุกรรมการวินิจฉัยพิจารณากลั่นกรอง เพื่อเสนอความเห็นให้ กกต.ตัดสิน และถ้าหากที่ประชุม กกต.เห็นว่าไม่จำเป็นต้องสอบเพิ่มเติม เนื่องจากข้อมูลหลักฐานไม่เพียงพอก็ยุติเรื่อง       แต่หากพบว่ามีความผิดจริง ก็ส่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และเข้าสู่กระบวนการของศาลต่อไป ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องไว้ก็จะส่งผลให้สมาชิกวุฒิสภาต้องยุติปฏิบัติหน้าที่ 

เมื่อถามถึงกรอบระยะเวลาการพิจารณาคำร้องที่ต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 ปีนั้น นายอิทธิพรกล่าวว่า กรอบ 1 ปี เป็นการกำหนดเอาไว้เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่กระทบกับการสืบสวนไต่สวนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งสามารถยืดหยุ่นและขยายเวลาได้ ในฐานะที่เป็นหน่วยงาน ก็ไม่อยากล่าช้า เพราะถ้าช้าต้องมีเหตุผล 

ถามว่าหากมีสมาชิกวุฒิสภาต้องออกจากหน้าที่ จะต้องมีการเลือก สว.ใหม่ขึ้นมาทดแทนหรือไม่ ประธาน กกต.ตอบว่า ขึ้นอยู่กับจำนวน  ต้องรอดูความชัดเจนอีกที 

คนวินิจฉัยผิดเป็นหน้าที่ศาล

ส่วนจะมีการเรียก สว.มาชี้แจงเพิ่ม จากที่เรียกไปรอบแรก 53 คนหรือไม่นั้น นายอิทธิพรกล่าวว่า  เมื่อคำร้องเข้าสู่กระบวนการ ก็ต้องให้แต่ละส่วนมีอำนาจหน้าที่อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจะมีอีกหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับหลักฐานที่คณะกรรมการฯ ชุดที่ 26 เป็นผู้พิจารณา การจะให้ข่าวออกไปตอนนี้คงไม่เหมาะสม 

ซักว่าในหมายเรียกระบุชัดเจนว่า สว.มีความผิดชัดเจนเรื่องฮั้ว ประธาน กกต.ชี้แจงว่า ไม่ใช่มีความผิด แต่มีพฤติการณ์ที่อาจจะเป็นการฝ่าฝืน  จะวินิจฉัยว่าผิดเลยไม่ได้ เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และพยานบุคคลที่มีทำให้เราเชื่อ แต่การตัดสินว่าใครผิดหรือไม่ผิด เป็นหน้าที่ศาล 

ถามว่า ในการวินิจฉัยของอนุกรรมการฯ ก่อนเสนอ กกต. สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ไม่ได้เปลี่ยน แต่สามารถแสดงความเห็นได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือมีจุดไหนที่ต้องการข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และใช้ดุลพินิจได้อย่างชัดเจนที่สุด    ไม่เช่นนั้นจะเกิดความลักลั่น เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ชัด

เมื่อถามว่า ทำไมดีเอสไอเข้ามาแล้วดำเนินการได้เร็วกว่าที่ กกต.ทำเอง ประธาน กกต.กล่าวว่า มีบางเรื่องที่พยานหลักฐานไม่มากเท่ากับที่ดีเอสไอมี  จึงต้องการให้ดีเอสไอเข้ามาช่วยดู และเมื่อเชิญเข้ามา บวกกับพยานหลักฐานที่เขามีอยู่แล้ว ก็ทำให้ไม่ช้า ซึ่งคำร้องของ สว.มีทั้งหมดประมาณ 577 คำร้อง ทำเสร็จไปแล้วกว่า 300 เรื่อง 

นายอิทธิพรยังยืนยันว่า การเรียก สว.เข้ามาชี้แจงในครั้งนี้ เป็นการเรียกของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 26  

ด้านนายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นกระบวนการทำงานตามกระบวนการยุติธรรมตามระบบที่มีขั้นตอนการออกหมายเรียก สว. รวมถึงคนไทยทุกไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย ก็ควรให้ความร่วมมือ ถ้าสุจริตไม่มีอะไรน่าวิตก และยิ่งควรให้ความร่วมมือ จะได้พิสูจน์ตัวเอง และขั้นตอนนี้ยังไม่ใช่ที่สิ้นสุดของกระบวนการ ทุกคนมีสิทธิ์ชี้แจงข้อกล่าวหาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ก็ขอให้กำลังใจ กกต.และดีเอสไอ รวมถึง สว.ทุกคนที่อยู่ภายใต้กระบวนการนี้  ประชาชนเฝ้าดูและรอฟังอยู่ว่าสุดท้ายผลสรุปจะออกมาอย่างไร

ทำสงครามต้องมีข้อมูล

ผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่ถูกออกหมายเรียกควรปฏิบัติตัวอย่างไร ควรหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ สส.พรรคเพื่อไทยผู้นี้ตอบว่า ต้องไปดูข้อกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ตนไม่แน่ใจ แต่โดยมารยาททางการเมือง คนเป็น สว.หรือระดับประธาน สว.คิดเองได้

เมื่อถามว่า สังคมตั้งข้อสังเกตประเด็นนี้เป็นสงครามตัวแทนระหว่างค่ายแดงกับน้ำเงินหรือไม่  นายสุทินกล่าวว่า อาจจะมีประชาชนบางส่วนคิดอย่างนั้นได้ แต่ใครจะทำสงครามกับใครก็ตาม ถ้าไม่มีมูลความจริง ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ได้ ก็ไม่มีใครเปิดศึกกันได้ หรือเปิดไปก็จบไม่สวย เพราะถ้าคิดจะไปกลั่นแกล้งกัน ไม่ได้ผล คิดจะเปิดสงครามสร้างเรื่องกลั่นแกล้งก็ไม่เป็นอย่างที่คิด ฝ่ายที่คิดไม่สุจริตจะเสียหายเอง

ซักว่าประเด็นนี้จะกระทบการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ เขายืนยันว่า ไม่กระทบ เพราะกระบวนการยุติธรรมก็ทำไป คนมีหน้าที่ชี้แจงข้อกล่าวหาก็ชี้แจงไป รัฐบาลก็ทำงานไป ในขณะที่ทุกคนต่อสู้เรื่องคดีก็ต้องทำงาน ยืนบนหลักการทำให้ประชาชนต่อไป ถ้ายืนบนหลักนี้ก็ไม่กระทบ แต่ถ้าไม่ยืนบนหลักนี้ จะออกฤทธิ์ออกเดชอะไรได้ไม่มาก    สุดท้ายจะเป็นฝ่ายเสียหายเอง

ขณะที่ นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้มีผลสะเทือนต่อการทำงานของรัฐสภาอย่างแน่นอน รวมถึงกระทบกระเทือนต่อความศรัทธาและความเชื่อถือต่อวุฒิสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมากถ้าไม่รีบแก้ไข ตนจึงอยากให้กำลังใจทั้ง กกต.และดีเอสไอได้ทำงานนี้อย่างรวดเร็วและรอบคอบ ส่งให้ศาลวินิจฉัยว่าฮั้วหรือไม่ฮั้วอย่างไร และเพื่อความศรัทธาในระบบรัฐสภาโดยเฉพาะในส่วนของวุฒิสภาต่อไป

เมื่อถามว่า มองว่าวุฒิสภาควรปฏิบัติอย่างไร เพราะได้ออกหมายเรียก สว.จำนวนหนึ่งไปแล้ว  นายอดิศรระบุว่า ตามกระบวนการยังไม่มีอะไร แต่ด้านทางการเมืองเสียหายเกือบ 100% ไปแล้ว เพียงแต่ความรับผิดชอบความมีจิตสำนึกของ สว.แต่ละคน และคงเรียกร้องให้ทาง กกต. ดีเอสไอ ทำงานเรื่องนี้อย่างรวดเร็วและรอบคอบ อย่างไรก็ตาม  เรื่องการดำรงตำแหน่งยังไม่มีกระทบ แต่กระทบเรื่องความศรัทธารุนแรงกว่า

เปิดรายชื่อ 55 สว.คดีฮั้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 55 คน ที่ได้รับการนัดเข้ารับทราบข้อกล่าวหาความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561มาตรา 70 ประกอบมาตรา 36 มาตรา 77(1) และมาตรา 62 ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งได้สั่งให้ดำเนินการไต่สวนเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏดังกล่าว โดยมอบหมายให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลาง คณะที่ 26 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามคำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ 1107/2568 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2568 และตามคำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ 1581/2568 ลงวันที่ 30 เมษายน 2568 เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการไต่สวน ทั้งนี้ เป็นการเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาและเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาระหว่างวันที่ 19-21 พ.ค.2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ อาคาร B กรุงเทพฯ

 โดยกลุ่ม สว.ที่นัดให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 19 พ.ค.2568 มีรายชื่อ สว. จำนวน 22 คน  ได้แก่ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์, นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี, นายมงคล สุระสัจจะ, พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย, นายเศก จุลเกษร, นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล, นายอลงกต วรกี, นายณัฐกิตติ์ หนูรอด, นายสมศักดิ์ จันทร์แก้ว, นายชีวะภาพ ชีวะธรรม, นายเตชสิทธิ์ ชูแก้ว, นายสิทธิกร คงยศ

นายภาณุพงษ์ เต็งวงษ์วัฒนะ, นายสากล ภูลศิริกุล, นายนิพนธ์ เอกวานิช, นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม, นายวิเชียร ชัยสถาพร, นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล, นายพิบูลย์อัฑฒ์ หฤหรรษ์ปราการ,  นายสมหมาย ศรีจันทร์, น.ส.อัจฉราพรรณ หอมรส และ พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา

ส่วนกลุ่ม สว.ที่นัดให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 20 พ.ค.2568 มีรายชื่อ สว.จำนวน 22 คน ได้แก่ นายสืบศักดิ์ แววแก้ว, พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร, นายจิระศักดิ์ ชูความดี, นายสมพร วรรณชาติ, นายจตุพร เรียงเงิน, น.ส.เข็มรัตน์ สุรเมธีมาณพ, นายนิสิทธิ์ ปนกลิ่น, นายสุเทพ สังข์วิเศษ, นายสมทบ ถีระพันธ์, นางนงลักษณ์ ก้านเขียว, นายฤชุ แก้วลาย

นายยะโก๊ป หีมละ, นายสมชาย นุ่มพูล, นางปวีณา สาระรัมย์, นายอภิชา เศรษฐวราธร, นายวิถี สุพิทักษ์, นายพิศูจน์ รัตนวงศ์, นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร, นางสุมิตรา จารุกำเนิดกนก, นายรุจิภาส มีกุศล, นายสมพาน พละศักดิ์ และ พ.ต.ท.สง่า ส่งมหาชัย

'ไอ้โม่ง' อมเงินที่นครศรีฯ

และกลุ่ม สว.ที่นัดให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 21 พ.ค.2568 มีรายชื่อ สว.จำนวน 11 คน ได้แก่ นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์, พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี, นายขวัญชัย แสนหิรัณย์, นางอจลา ณ ระนอง, นายโชคชัย กิตติธเนศวร, นายศุภชัย กิตติภูติกุล, นายปราณีต เกรัมย์, นายกฤษณุ เหลืองพิบูลกิจ, นายสมดุลย์ บุญไชย, นายสุทนต์ กล้าการขาย และนายสุวิช จำปานนท์

มีรายงานว่า ในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีรายชื่อ สว.ที่ถูกออกหมายเรียกแล้ว 3  ราย ได้แก่ นายณัฐกิตติ์ หนูรอด, นายเตชสิทธิ์ ชูแก้ว, นายสมศักดิ์ จันทร์แก้ว นั้น ทั้ง 3 คนได้รับทราบข้อกล่าวหาเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ นครศรีธรรมราชมี สว.รวมทั้งหมด 5 คน และสำรองอีก 2 คน โดยรายชื่อ สว.ที่ได้รับเลือกมาจากการเลือกตั้งภายใน ประกอบด้วยบุคคลจากหลากหลายสายอาชีพ เช่น อดีตข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจในวงการข้าว วิศวกร และนักการเมืองท้องถิ่น

แหล่งข่าวเผยว่า มีกลุ่มบุคคลจากนครศรีธรรมราชรวมตัวกันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อประชุมกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านหลักสี่ โดยมีบุคคลไม่เปิดเผยตัว หรือ “ไอโม่ง” ทำหน้าที่แนะนำกระบวนการและแนวทางการดำเนินการเลือกตั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมแจกเงินสดใส่ซองคนละ 20,000 บาท โดยระบุว่าอีก 80,000 บาทจะได้รับหลังเลือกตั้ง

แต่ต่อมาพบว่าจำนวนเงินหลังเลือกตั้งจริงๆ อยู่ที่ 180,000 บาทต่อคน รวมเป็น 200,000 บาทต่อหัว โดยมีเพียง 29 คน จาก สว.นครศรีธรรมราชทั้ง 40 คนที่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว และได้รับเงินงวดแรกไปแล้ว ขณะที่เงินอีก 100,000 บาทที่ควรจะจ่ายหลังการเลือกตั้งกลับหายไป

ข้อมูลชี้ว่า มี “ไอ้โม่ง” คนกลางอมเงินจำนวนนี้ไว้เอง รวมเป็นเงินที่ยังติดค้างถึง 2.9 ล้านบาท โดยไม่ได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญหรือผลตอบแทนอื่นใดให้กับผู้สมัครทั้ง 5 คนตามที่มีการสัญญาก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวยังระบุอีกว่า ผู้เกี่ยวข้องบางรายได้นำเงิน 100,000 บาทที่ได้รับคืนมาเก็บไว้ และได้เข้าชี้แจงให้ปากคำกับคณะกรรมการไต่สวนแล้วเรียบร้อย ทั้งนี้ หลักฐานจาก 1 ใน 29 รายชื่อผู้ถูกออกหมายเรียก ได้ส่งถึงมือคณะกรรมการสอบสวนแล้ว และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลล่าตัว “ไอ้โม่ง” ผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการรับเงินครั้งนี้

ขณะนี้การสืบสวนอยู่ระหว่างเร่งขยายผลไปยังระดับนโยบาย โดยมีเป้าหมายตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมด คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในเร็วๆ นี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.