พิชัยถกแบงก์รัฐ ศก.ฟุบหนัก2ปี จ่ออัดซอฟต์โลน

"อิ๊งค์" บอกยังไม่ยกเลิก "เงินหมื่นเฟส 3" อ้างเวลานี้ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมด ไม่ใช่แค่คนกลุ่มเดียว หลังเจอวิกฤตภาษีทรัมป์  นายกฯ กำชับคณะทำงานเตรียมข้อมูลเจรจาให้พร้อม “พิชัย” นั่งหัวโต๊ะถกแบงก์รัฐ ประเมินเศรษฐกิจไทยฟุบหนัก 2 ปี จ่อชงบอร์ดกระตุ้น ศก.  19 พ.ค. ออกมาตรการเยียวยา อัดซอฟต์โลนแสนล้าน หั่นดอกเบี้ยกู้อุ้มภาคธุรกิจ 

ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 เมื่อวันที่ 15  พฤษภาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการแจกเงินดิจิทัลเฟส 3  ตกลงจะได้หรือไม่ หลังระบุจะมีการทบทวนว่า "ใช่ค่ะ เพราะมีความเห็นเข้ามาในเรื่องภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่มันเป็นสถานการณ์ทั่วโลก และถือเป็นปัจจัยใหม่ๆ อันนี้ต้องฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม ได้ข้อสรุปอย่างไรจะรีบบอก"

เมื่อถามว่า มีการเข้าใจกันไปแล้วว่าอาจจะมีการยกเลิก ก็เลยใจเสียไปแล้ว นายกฯ กล่าวว่า เรากำลังหาวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ผลมากที่สุด  เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรทั้งสิ้น  เดี๋ยวรอฟังความเห็นให้ครบ ความจริงเรากำลังพยายามผลักดันทุกแง่มุม

ส่วนจะสามารถปรับเป็นรูปแบบโครงการคนละครึ่งได้หรือไม่นั้น น.ส.แพทองธารกล่าวว่า มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอันที่ต้องช่วยกันหลายด้าน ฉะนั้นเราคงต้องใช้ทั้งเม็ดเงิน ใช้ทั้งนโยบายต่างๆ ที่จะกระตุ้นทั้งหมด ไม่ใช่แค่ช่วงอายุใดอายุหนึ่ง เพราะแผนเดิมแบ่งเป็นช่วงอายุ แต่อันนี้ต้องทั้งหมด

เมื่อถามย้ำว่า สรุปว่ายังมีต่อหรือจะปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ นายกฯ กล่าวว่า ขอรอฟังความคิดเห็นก่อนว่ายังไงบ้าง แต่ว่าจริงๆ  เรายังไม่ได้ยกเลิกอะไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า การทบทวนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต จะส่งผลกระทบต่อเสียงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ น.ส.แพทองธารไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเช้าก่อนการเดินทางไปประชุมที่เวียดนาม นายกฯ ได้สั่งการให้คณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเจรจากำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาพิจารณาข้อมูลที่เตรียมการไว้ รวมทั้งให้ติดตามสาระสำคัญ ที่มีการพูดถึงการเจรจาของแต่ละประเทศ ในเวทีการประชุมการลงทุน ซาอุดี-สหรัฐ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ระบุว่า นายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงประเทศไทยว่า "ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี"    นับเป็นสัญญาณบวกของประเทศไทยจากการทำงานอย่างต่อเนื่องของทีมไทยแลนด์ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

ที่ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการประชุมมอบนโยบายสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อช่วยภาคธุรกิจรับมือมาตรการภาษีสหรัฐ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาลว่า ประเมินว่าผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐครั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยสะดุดอย่างน้อย 2 ปี โดยเฉพาะภาคการส่งออก ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐเร่งพิจารณาใน 2 ส่วน คือ 1.ช่วยผู้ส่งออกโดยตรงที่ได้รับผลกระทบ และ 2.พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือไปถึงคู่ค้าของผู้ส่งออก หรือกลุ่มซัพพลายเชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ส่วนระยะต่อไปจะมีการหารือถึงผลกระทบกับกลุ่มแรงงานว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งงานไว้ได้หรือไม่จากผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการหารือในการประชุมรอบต่อไป (เฟส 2)

นายพิชัยเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในวันที่ 19 พ.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยกระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านสถาบันการเงินของรัฐ เพิ่มช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 1 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0.01% ให้สถาบันการเงินอื่นไปปล่อยสินเชื่อต่อในอัตราไม่เกิน 3.5% เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ส่งออกและซัพพลายเชน

ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินรัฐเร่งหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ โดยมาตรการไหนหากสถาบันการเงินรัฐแข็งแรงพอก็สามารถทำได้เลย แต่หากบางมาตรการที่ต้องการเงินรองรับจากรัฐบาลให้รีบแจ้ง เพื่อเตรียมวงเงินรองรับ ส่วนจะต้องเตรียมเท่าไหร่ อาจจะต้องรอให้แต่ละสถาบันการเงินไปทำการบ้านมาก่อน

สำหรับธนาคารออมสินจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2-3% เพื่อช่วยเหลือลูกค้าในกลุ่มส่งออกและกลุ่มเอสเอ็มอีที่เกี่ยวเนื่อง ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.2568 ขณะเดียวกัน จะมีการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 1 แสนล้านบาท เพื่อปล่อยกู้ต่อให้สถาบันการเงินในอัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อให้สถาบันการเงินต่างๆ  นำไปปล่อยกู้ต่อเพื่อเติมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มส่งออก ส่วนธนาคารธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)  หรือเอ็กซิมแบงก์ ซึ่งมีลูกค้ากลุ่มส่งออก 3,000 ราย ให้ไปประเมินว่ามีลูกค้าที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องเท่าไหร่ อาจจะต้องเตรียมเงินเพื่อรองรับส่วนนี้ รวมถึงจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 20% ของที่เคยเก็บ

ในส่วนของธนาคารพาณิชย์นั้น ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้สั่งให้มีการรวบรวมข้อมูลของลูกค้ากลุ่มส่งออกที่ได้รับผลกระทบแล้ว  เพื่อเอาโจทย์นี้มาคุยกันว่ามีผลกระทบเท่าไหร่ รูปแบบใด โดยหากดูจากขนาด 5 ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำมีขนาดใหญ่มากอยู่แล้ว น่าจะให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้ เพราะสถานะมีความแข็งแรง ดังนั้นคนที่แข็งแรงอยู่แล้วก็ต้องมีแรงที่จะช่วยเหลือคนได้เยอะ ส่วนจะช่วยเหลืออย่างไร ตอนนี้ต้องให้เวลาไปคิดก่อน เพราะโจทย์วันนี้ไม่เล็ก

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า การดำเนินมาตรการช่วยเหลือเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวเลขกำไรของสถาบันการรัฐแน่นอน ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้นโยบายไปชัดเจนแล้ว ว่าไม่จำเป็นต้องทำกำไรเยอะมาก ให้กำไรน้อยลง แต่ยังอยู่ในระดับที่ยังคงแข็งแรง อยู่ได้ ตรงนี้เป็นประเด็นแรกที่มอบนโยบายไป

ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า สิ่งที่ธนาคารออมสินจะดำเนินการในทันทีคือ การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับผู้ประกอบการในกลุ่มส่งออกและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐลง 2-3% สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงการคลัง  โดยการลดอัตราดอกเบี้ยในส่วนนี้ ยอมรับว่าอาจจะกระทบกำไรให้ลดลงมาบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้ออมสินสูญเสียความแข็งแกร่ง ส่วนลูกค้าที่ต้องการเข้าร่วมมาตรการ จะต้องมาติดต่อที่ธนาคาร จะไม่ได้เป็นการปรับลดให้ลูกค้าเป็นการทั่วไป ส่วนโครงการซอฟต์โลน วงเงิน 1 แสนล้านบาทนั้น จะเป็นวงเงินใหม่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐ  โดยโครงการดังกล่าวจะต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง