“อนุทิน” บอกเป็นเรื่องดี “สนธิ-จตุพร” หันมาจับมือร่วมกัน “วิสุทธิ์” ไม่ให้ค่า บอกเป็นปรากฏการณ์น้ำไหลไปในทิศทางเดียวกัน เหตุไม่ได้สมประโยชน์ที่ขอ “ตุ๊ดตู่” ปลุกอย่าถูกหลอกซ้ำซากเหมือนรัฐบาลข้ามขั้ว ต้องก้าวข้ามสีเสื้อ ปูดก่อน 13 มิ.ย.อาจเขี่ย "ภูมิใจไทย" ทิ้ง "สมชาย" ชี้ไม่มาศาลอาจถูกออกหมายจับ "10 อรหันต์ สธ." นัด 27 พ.ค.สรุปความเห็นส่งสภานายกพิเศษตัดสินใจจะวีโตหรือไม่ แง้มบางเรื่องเห็นต่างแพทยสภา บางเรื่องควรเฆี่ยนซ้ำ “ศาลปกครองสูงสุด” แจงคดียิ่งลักษณ์แค่ตัดสินกรณีพิพาท ส่วนการบังคับยึดทรัพย์หมื่นล้าน นายกฯ พร้อม รมต.ที่เกี่ยวข้องต้องจัดการเอง “จตุพร” เชื่อไม่มีวันเกิดขึ้นเพราะแจ้งมีทรัพย์สินแค่ 600 ล้าน
เมื่อวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2568 ยังคงมีปฏิกิริยาต่อเนื่องบนเวทีงานความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 2/2568 ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. (เสื้อเหลือง) สวมกอดกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. (เสื้อแดง)
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า ยังไม่เห็นเลย นักข่าวบอกว่า อยู่คนละขั้วแล้ววันนี้จับมือกันเพื่อล้มระบอบทักษิณ นายอนุทินร้องโอ๊ยก่อนระบุว่า ถ้าคนเคยอยู่คนละขั้วแล้วสามัคคีกันได้ เข้าใจกันได้ ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ ก็ขอให้เข้ามารวมกัน ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ประชาชน ก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่ดี จะไปโกรธกันทำไม
เมื่อถามว่า ส่วนน้ำเงินกับแดงจะจับมือกันหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ทุกวันนี้ก็จับกันอยู่ ถามว่าจะกอดโชว์ผ่านสื่อหรือไม่ นายอนุทินบอกว่า กอดไม่ได้เพราะนายกฯ เป็นสุภาพสตรี นักข่าวจึงแซวว่าแล้วพ่อนายกฯ จะกอดหรือไม่ นายอนุทินหัวเราะก่อนบอกว่า ถามอะไรก็ไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับข่าวเลย
ขณะที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ปรากฏการณ์นี้เราเห็นอยู่แล้ว ไม่อยากวิจารณ์เขา เพราะทั้งสองท่านนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าเราจะทำอะไร หายใจแรงก็ผิดอยู่แล้ว บ้านตนเรียกว่าน้ำไหลไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ไม่กอดกันก็รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เป็นไร ไปกอดกันบ่อยๆ ก็ดีแล้ว เชิญเลยตามสบาย
“เป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง คนพอใจก็อยู่ด้วยกันได้ คนที่ติดค้างในใจก็มีหลายเรื่อง บางคนมาขอแล้วไม่ได้ก็เป็นฝ่ายตรงข้าม คนที่ไม่สมประโยชน์ก็มี ไม่ใช่เฉพาะคู่นี้ มีหลายคู่หลายคน ถ้าทำใจให้ดีๆ ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ทำใจสบายๆ ให้ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร ก็แค่นั้นก็อยู่ได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสมประโยชน์ ผมเองกับนายจตุพรก็ไม่มีอะไรกัน ไม่วิพากษ์วิจารณ์” นายวิสุทธิ์กล่าว
นายวิสุทธิ์กล่าวอีกว่า ส่วนการรวมกันแล้วบอกว่าเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติที่เขาประกาศนั้น ก็เป็นเรื่องของเขา แต่อย่าทำให้การเมืองกลับไปอยู่แบบเดิมในอดีต เกิดความแตกแยกเดินชุมนุมประท้วง วันนี้ควรบอกว่า อะไรที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง การยึดสนามบินสุดท้ายก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นความยุ่งยากของประชาชน มีอะไรอยากพูดอยากแนะนำบอกได้ นายกฯ รับฟังทุกปัญหาในแนวทางที่ไม่มีอคติ
ขณะที่นายจตุพรกล่าวว่า การร่วมเวทีกับนายสนธินั้น ตนกับนายสนธิต่อสู้กับสิ่งไม่ถูกต้องมาตลอด เมื่อมาถึงปลายทางชีวิตแล้ว อีกทั้งไม่ได้เป็นนักการเมืองจึงไม่ต้องการแสงอะไรอีก ดังนั้นการกอดกันบนเวทีสาธารณะจึงไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องคะแนนเสียง แต่เป็นการแสดงออกอย่างเปิดเผย ให้เห็นตามความจริงที่ต้องการทำเพื่ออนาคตของชาติบ้านเมือง ถ้าจะอับอายต้องเป็นฝ่ายนายทักษิณ เพราะตั้งแต่กลับมาไทยได้จับมือกับฝ่ายยึดอำนาจ ทำตัวเป็นคนสองมาตรฐาน เป็นพวกอภิสิทธิ์ชน ก้าวข้ามประชาชนที่เสียชีวิตนับร้อยจากการต่อสู้ที่เคยเรียกร้องหาความยุติธรรมให้ทักษิณ ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังหาเสียงอย่างแล้วทำอีกอย่าง หรือไม่ทำอะไรเลย โดยเฉพาะการเรียกร้องความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง ซึ่งเป็นความหลอกลวงทั้งสิ้น
ปลุกก้าวข้ามสีเสื้อ
“รัฐล้มเหลวได้ แต่ประชาชนต้องไม่ล้มเหลวตามรัฐ แม้คนยากลำบาก แต่ถ้าเรานอนรอชะตากรรมก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใดๆ ในแผ่นดินนี้ได้ เพราะเราเห็นแล้วว่า เรื่องที่พรรคแกนหลักของรัฐบาลได้หาเสียงนั้นเหลวไหลทั้งนั้น ฉะนั้นประชาชนต้องก้าวข้ามสีเสื้อให้ได้ โดยคิดและทำเพื่อคนไทยและประเทศไทย”
นายนิติธร ล้ำเหลือ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวเรื่องนี้ว่า ชัดเจนว่าวันนี้มาร่วมกันทำงานให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ได้พุ่งตรงต่อรัฐบาล แต่พุ่งตรงต่อปัญหาของบ้านเมือง เพื่อแสดงให้เห็นว่าภาคประชาชนจะเข้ามาแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง ส่วนกรณีตั้งข้อสังเกตว่ามาล้มระบอบทักษิณนั้น ถ้าระบอบทักษิณมีอยู่จริงและเลวร้ายจริง ไม่ว่าจะเป็นนายสนธิหรือนายจตุพร หรือไม่ว่าเป็นใครก็ต้องกำจัดระบอบนี้ แต่ถ้าไม่มีอยู่จริงไม่ต้องกังวล ดังนั้นในส่วนของของนายสนธิกับนายจตุพร สิ่งที่เราได้เห็นคือภาพประชาชนขยับเข้าหากันมากขึ้น
สำหรับกรณีศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนคดีชั้น 14 ของนายทักษิณในวันที่ 13 มิ.ย. นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ไม่ได้ประเมินอะไร มั่นใจในทีมงาน เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เพราะนายทักษิณได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว จึงไม่มีอะไร ไม่ได้กังวลอะไรเลย คนที่คิดก็เป็นคนที่คิดได้ทุกอย่าง เรามองในแง่ดีจากสิ่งที่ท่านได้ทำมา ตามกระบวนการเราเชื่อว่าถูกต้อง นายทักษิณไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นนายกฯ เป็นพ่อนายกฯ เป็นบุคคลภายนอก วันนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทำหน้าที่นายกฯ จึงเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนนายจตุพรประเมินว่า สิ่งที่น่าสังเกตคือ ก่อนถึงวันที่ 13 มิ.ย.ที่ศาลฎีกาฯ นัดนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาล เพราะมีข่าวแว่วเริ่มถี่ขึ้นว่า ก่อน 13 มิ.ย.นี้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเอาพรรคภูมิใจไทยออก จากนั้นให้จับตาดูหลัง 13 มิ.ย. ถ้าเห็นว่ารัฐบาลไปไม่รอดอาจตัดสินใจยุบสภา เพราะการประกาศศึกกับ พลเอก ส. ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่สงครามยิ่งดูเหมือนพร้อมจะแตกหักกันแล้ว สะท้อนถึงเสถียรภาพรัฐบาลกำลังจบลง จึงต้องทำอะไรสนองความสะใจส่วนตัวของคนชักใยอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้วันที่ 13 มิ.ย.นี้ แม้เชื่อว่านายทักษิณจะไม่ไปศาลฎีกาฯ แต่อยากให้ไป และอยากหน้าแตกกับการคาดการณ์ผิด
“ผมไม่อยากให้ทักษิณหนีอีกรอบ แม้ผมเชื่อว่าทักษิณหนี และยังเชื่อว่าทักษิณไม่ไปศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ แต่ให้จับตาดูว่า ข่าวยุบพรรคเพื่อไทยในคดีถูกครอบงำที่อยู่ในขั้นการสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะมาก่อนหรือไม่ อีกไม่นานถัดจากนี้คงได้รู้กัน”
นายจตุพรย้ำว่า หากสถานการณ์ก่อนถึงวันที่ 13 มิ.ย.นี้มีปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาลกันมาก ขอให้จับตาดูการยื่นคำร้องกล่าวหารัฐบาลฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ที่อยู่ในขั้นการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งจะกวาดพรรคฝ่ายรัฐบาลแทบหมดสิ้นในคราวเดียวกัน
นายนิติธรกล่าวประเด็นนี้ว่า ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ถ้านายทักษิณมา เชื่อว่าศาลซึ่งมีการรวบรวมหลักฐานพยาน เสร็จสิ้น และน่าจะเพียงพอมีคำวินิจฉัยออกมา ถ้าไม่มีประเด็นใหม่จริงๆ แต่ถ้านายทักษิณไม่มาแล้วมีเหตุอันสมควร ศาลจะพิจารณาตรงนั้น และอาจพิจารณาให้เลื่อนไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้ามาแล้วไม่มีประเด็นใหม่จริงๆ เชื่อว่าศาลจะออกคำวินิจฉัยได้
ด้านนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความจริงที่ศาลมีคำสั่งให้นายทักษิณนำคำร้องของตนเองไปแก้ข้อกล่าวหา และจะถามซ้ำด้วยวาจาในการแก้ข้อกล่าวหา เพราะท่านไม่ได้ฟังจากปากคำของทนายความหรือเอกสารเพียงเท่านั้น ดังนั้นถ้านายทักษิณไม่เดินทางไปขึ้นศาล ก็เท่ากับว่าสละสิทธิ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และตรงนี้จะเป็นผลเสียหายต่อนายทักษิณ ดังนั้นจึงคิดว่านายทักษิณควรไป
ขู่ออกหมายจับ
ขณะที่นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (อดีต สว.) กล่าวว่า จะยื่นพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีชั้น 14 เพิ่มเติมในวันที่ 29 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเอกสารที่กรรมาธิการเรียกไป และมติแพทยสภาที่ออกมาก็ชัดเจนตรงกันว่าไม่พบอาการป่วยวิกฤต ถ้าจะอ้างว่าเป็นการรักษาเฉพาะทางก็ต้องไปรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ ดังนั้นหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลเป็นการรักษาตลอด 180 วัน ที่ยืนยันชัดเจนว่ามีการป่วยแต่ไม่ถึงขั้นวิกฤต ถ้านายทักษิณไม่เดินทางไปศาลในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ สิ่งที่ศาลจะดำเนินการคือออกหมายจับ
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในการประชุมคณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษ เพื่อพิจารณามติของแพทยสภา ที่มีการลงโทษแพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษานายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ภายหลังจากการประชุม นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข หนึ่งในคณะกรรมการ แถลงว่า กรรมการแต่ละคนจะทำความเห็นต่อแพทย์ที่ถูกร้องเรียนทั้ง 4 คน (รวมแพทย์ 1 คนที่ถูกยกคำร้อง) แยกเป็นรายคน ซึ่งกรรมการจะกลับไปแก้เอกสารให้ความเห็นหลังจากพูดคุยกันวันนี้จนเกิดความเข้าใจแล้ว และนัดคุยกันนัดสุดท้ายในวันที่ 27 พ.ค.นี้ เวลา 14.00 น.เพื่อส่งให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ทำการพิจารณาและตัดสินใจว่าจะวีโตมติของแพทยสภาหรือไม่อย่างไร ซึ่งไม่มีใครไปชี้นำได้ และนายสมศักดิ์ก็มีเวลาราวๆ 2-3 วันในการดูเรื่องนี้ ก็จะครบ 15 วันที่ต้องส่งกลับแพทยสภา จึงไม่มีเรื่องของการยื้อเวลาอะไรทั้งนั้น
เมื่อถามว่า ทิศทางหลังจากการพิจารณาของกรรมการเป็นไปในทิศทางใด นายกองตรี ธนกฤตกล่าวว่า แต่ละคนก็มีความเห็นแตกต่างกัน บางอย่างคล้ายกับความเห็นของแพทยสภา บางอย่างเห็นคล้ายกันแต่ควรปรับเปลี่ยนบางเรื่องก็มี หรือบางเรื่องก็จะชี้ให้แพทยสภาเห็นว่า ควรมีการเอากฎหมายบางอย่างเข้าไปเพิ่ม
นายกองตรี ธนกฤตกล่าวว่า ส่วนที่แพทยสภาบอกว่า ส่งเอกสารมาครบทั้งหมดแล้ว แต่เราตรวจสอบแล้วเห็นว่าที่ขอไปนั้นเป็นเอกสารสำคัญ แต่ไม่เป็นไร ไม่ส่งมาเราก็ยังพิจารณาได้ อย่างไรก็ตามท่านควรคิดว่า เมื่อมีการตั้งกรรมการมา 1 ชุด ขอเอกสารไป ท่านก็น่าจะส่งมา แน่นอนว่าเอกสารนั้นมีผลเกี่ยวกับการลงโทษ ส่วนเรื่องวิกฤตหรือไม่วิกฤตไม่ได้อยู่ในเนื้อหา เอกสารของแพทยสภาไม่มีคำว่าวิกฤต เปรียบเสมือนว่ามี 10 ขั้นตอน เมื่อข้าวโพดหายไปเม็ดหนึ่งทั้งที่ควรมีให้ครบ จึงขอไป เมื่อท่านยืนยันว่าให้มาครบแล้วก็ไม่เป็นไร
ถามว่า กรรมการชุดนี้พิจารณาจากเอกสารชุดเดียวกันกับแพทยสภา แต่กลับมีความเห็นต่างกัน ซึ่งความเห็นที่ต่างกันนั้นมองว่าไม่ควรลงโทษแพทย์ หรือถึงลงโทษก็ไม่สมควรผิดหรือลงโทษหนักไป นายกองตรี ธนกฤตกล่าวว่า เราเป็นคนให้ความเห็น บางเรื่องก็อาจจะต้องโดนเฆี่ยนแรงๆ ก็ได้ เฆี่ยนหนักอีกหน่อยก็ได้ แต่บางเรื่องแค่ดีดมะกอกยังไม่ได้เลย แต่สุดท้ายอยู่ที่นายสมศักดิ์ เพราะกฎหมายไม่ได้อนุญาตให้กรรมการไปทำความเห็นว่าอย่างไร หรือไปโหวตไม่ได้ แค่แต่ละคนคิดอย่างไรแล้วส่งให้นายสมศักดิ์ไปตัดสิน
ส่วนที่ห้องพิจารณาคดี 807 ศาลอาญา ศาลนัดสอบคำให้การคดีหมายเลขดำ อ.1961/2567 ที่นายทักษิณมอบอำนาจให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ยื่นฟ้อง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท รวมทั้งหมด 5 กรรม แต่ศาลอาญามีคำสั่งประทับรับฟ้องไว้ 1 กรรม ส่วนอีก 4 กรรมศาลไม่ประทับรับฟ้อง
โดยภายหลัง นพ.วรงค์กล่าวว่า มารับทราบคดีที่นายทักษิณยื่นฟ้อง 5 กระทง และเรียกชดใช้มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งศาลไต่สวนมูลฟ้องเสร็จแล้วมีคำสั่งยกฟ้องไป 4 กระทง แต่นายทักษิณยังให้ทนายความยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องไป วันนี้จึงยังไม่ได้พิจารณาคดี ต้องดูว่าศาลอุทธรณ์จะพิจารณาว่าอย่างไร โดยศาลได้เลื่อนไปนัดสอบคำฟ้องวันที่ 24 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งก็ไม่เเน่ใจว่าวันนั้นนายทักษิณจะยังอยู่หรือไม่
นพ.วรงค์กล่าวอีกว่า ขอฝากข้อความไปถึงนายทักษิณ, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ น.ส.แพทองธาร ว่าการที่นายทักษิณฟ้องตนเอง แสดงว่าต้องเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นในคดีอื่นๆ ที่กำลังถูกพิจารณา เช่นในคดีศาลฎีกาฯ วันที่ 13 มิ.ย.นี้ หรือคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พวกคุณก็ต้องเคารพในกระบวนการยุติธรรมถึงจะแฟร์ โดยเฉพาะ น.ส.แพทองธารเป็นผู้ที่ต้องเคารพกฎหมายอย่างที่สุด ถ้าจำได้ 2-3 วันที่ผ่านมาที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาแล้ว น.ส.แพทองธารโพสต์ว่าความยุติธรรมถูกปล้น อย่างนี้มันไม่แฟร์กับประชาชน
“คดีในวันที่ 13 มิ.ย.นั้น ได้คุยกับผู้มีประสบการณ์ด้านการไต่สวน ว่าศาลมองเรื่องของข้อกฎหมายข้อเท็จจริงแล้ว อาจไต่สวนตอนเช้าแล้วตัดสินตอนบ่ายเลยก็ได้ เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องลุ้น และตามหลักการแล้วมองว่านายทักษิณควรต้องไป แต่ก็มีนักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายๆคนเทน้ำหนักไปว่านายทักษิณจะไม่ไป” นพ.วรงค์กล่าว
วันเดียวกัน สำนักงานศาลปกครองได้ชี้แจงข้อกฎหมายในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายอนุสรณ์ อมรฉัตร ฟ้องอดีตนายกฯ กับพวกรวม 9 คน จากกรณีมีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลปกครองมีอำนาจเพียงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน โดยศาลไม่มีอำนาจพิพากษาให้คู่กรณีฝ่ายผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า คำสั่งพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายบางส่วน จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งพิพาทเฉพาะส่วนที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท โดยศาลปกครองสูงสุดไม่ได้มีคำพิพากษาและออกคำบังคับให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 9 แต่อย่างใด
ศาลลั่นหมดหน้าที่แล้ว
น.ส.สายทิพย์ สุคติพันธ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ในฐานะกรรมการประชาพันธ์ ศาลปกครอง กล่าวว่า การออกมาชี้แจงนี้เพื่อให้สังคมประชาชนเข้าใจกระบวนการพิจารณาของศาลว่า เป็นการพิจารณาเฉพาะประเด็นคำสั่งที่เป็นข้อพิพาท บทบาทหน้าที่ของศาลปกครองถึอว่ายุติแล้ว การดำเนินการใดๆ จากนี้ไปเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกฯ, รมว.การคลัง, รมช.การคลัง, ปลัดกระทรวงการคลัง, สำนักนายกรัฐมนตรี, กระทรวงการคลัง, กรมบังคับคดี, อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร ต้องไปดำเนินการออกคำสั่งใหม่และปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษา
ด้าน นพ.วรงค์ย้ำถึงเรื่องการนำเงินจากการขายข้าวค้างมาหักกลบลบหนี้ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า เป็นข้อมูลมั่ว เพราะข้าวที่เหลือต้องไปชดใช้ต้นทุน ไม่ใช่มาชดใช้แทนคนโกง ส่วนประเด็นเรื่องหากต้องยึดอายัดทรัพย์นั้นไม่ทราบรายละเอียด เป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม หลังจากศาลปกครองสูงสุดซึ่งมีคำวินิจฉัย ถือว่าสิ้นสุดแล้ว แต่ถ้าคุณยิ่งลักษณ์มีเงินไม่พอก็ต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมาย
นายจตุพรกล่าวว่า การชดใช้คืนรัฐของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ไม่มีวันจะเกิดขึ้น เพราะได้แสดงบัญชีทรัพย์สินเพียง 600 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน นายวิสุทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ด้อยค่า น.ส.แพทองธารหรือไม่ที่เชิญนายทักษิณไปปาฐกถาแก้ปัญหายาเสพติดว่า ในอดีตท่านปราบปรามยาเสพติด คนไทยทั้งประเทศก็รู้ เกือบจะหมดอยู่แล้วในขณะนั้น ถ้าท่านเป็นนายกฯ ต่อ
ส่วนนายนิติธรกล่าวว่า รัฐมนตรีและ ครม.ที่เชิญนายทักษิณไป ต้องไปอ่านมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ ว่าจะเป็นการผิดมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ที่เชิญไปบรรยายเรื่องการแก้ไขยาเสพติด โดยการใช้กำปั้นสังหารไปกว่า 2,000 ศพ ขณะเดียวกันยังมีข้อกังขาคดีเกี่ยวกับการติดคุกหรือไม่ ป่วยหรือไม่ นี่เป็นจิตสำนึกของรัฐมนตรี จะชั้นต่ำชั้นสูงก็ไปคิดเอา ทำแบบนี้บ้านเมืองดีขึ้นหรือไม่ กลไกนี้ไปต่อได้หรือไม่ก็คิดดู
ส่วนที่ ป.ป.ช. นายชาญชัย พร้อมด้วยนายสมชาย และนายนิติธร เดินทางมาติดตามผลหลังยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอน ครม., สส.และ สว. หลังพบว่าการกระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และมาตรา 88 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรณีตัดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่เป็นส่วนของการชำระเงินต้นของเงินกู้ ตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่ปรับลดแล้วไปเป็นงบกลางเพื่อใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยยื่นร้องไปเมื่อวันที่ 25 เม.ย. ซึ่งวันนี้ครบ 1 เดือน จึงมาติดตามให้กำลังใจและนำเอกสารมายื่นเพิ่มเติม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.


