"รัฐบาล" ออกแถลงการณ์ครั้งแรก ปมชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ขอ ปชช.มั่นใจรัฐยึดหลักสันติวิธี-กม.ระหว่าง ปท. แก้ปัญหาผ่านการเจรจา JBC-GBC "นายกฯ อิ๊งค์" ขึงขังกลางวงครม. บอกอย่าทิ่มแทงกันเอง บ้านเมืองต้องมาก่อนการเมือง ปลุกคนไทยสามัคคีไม่แบ่งฝ่าย ยันรักษาอธิปไตย ยกเพลงชาติ "ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด" ลั่นหากสันติวิธีไม่ได้ผลพร้อมรับมือทุกรูปแบบ เหวี่ยงสื่อฯ โดนจี้ถามกัมพูชารุกล้ำชายแดน "ภูมิธรรม" ขอรอดูผลประชุมเจบีซี "ทอ." กางแผนซื้อเครื่องบินขับไล่กริพเพน E/F คาดเข้า ครม.ภายใน 15 ก.ค. จัดซื้อเดือน ส.ค. "บิ๊กอ้วน" บอกถ้ายังไม่นำเข้า ครม.ก็ยังไม่มีผลอะไร
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 07.00 น. รัฐบาลออกแถลงการณ์ “กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา” ว่า รัฐบาลขอยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่ โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม
โดยจุดเริ่มต้นของสถานการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568 ในขณะที่กองกำลังฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในพื้นที่ฝ่ายไทย ซึ่งเป็นแนวที่ถือปฏิบัติเสมอมา แต่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์จากการปะทะดังกล่าวทำให้กองกำลังไทยจำเป็นต้องป้องกันตัว และปกป้องพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
ภายหลังจากเกิดเหตุรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิดในทุกระดับ รวมถึงนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันด้วยความห่วงใยในสถานการณ์ ผลจากการพูดคุยรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติและไม่ลุกลามบานปลาย และเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหนึ่งในกลไกนั้น คือกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ตามที่ผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2568 ที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ที่อาจประสงค์จะใช้กลไกทางศาลหรือฝ่ายที่สามมาพิจารณาเรื่องนี้นั้น ขอเรียนว่าประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงต่างๆ เช่น MOU 2543 และข้อมูลหลักฐานต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม และไทยพร้อมที่จะเจรจากับฝ่ายกัมพูชาผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกัน เช่น JBC ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบรับตามคำขอ ของฝ่ายไทยที่จะจัดขึ้น (ในวาระที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ) ในวันที่ 14 มิ.ย.2568 ที่กัมพูชา
คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งเป็นกลไกระดับแม่ทัพภาค ซึ่งทั้ง GBC และ RBC มีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อย นอกจากนี้ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันที่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
“รัฐบาลขอยืนยันว่า ปัจจุบันสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทั่วไป มีความสงบเรียบร้อย รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ตามขั้นตอนในการปกป้องอธิปไตยของไทย และรักษาสิทธิทางกฎหมายของไทยอย่างครบถ้วน และเชื่อมั่นว่าไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดน รวมถึงความเป็นครอบครัวของอาเซียนด้วยกัน" ท้ายแถลงการณ์ระบุ
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.55 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้มีการหารือกับผู้นำกัมพูชาหรือยังว่า ยังๆ และจะนำเรื่องดังกล่าวหารือในที่ประชุม ครม.ในวันนี้
ปมไทย-กัมพูชาไม่ใช่การเมือง
ต่อมาเวลา 11.25 น. น.ส.แพทองธารแถลงหลังประชุม ครม.ว่า ในที่ประชุม ครม. ได้มีการหารือสถานการณ์ชายแดน ได้เน้นย้ำเรื่องของการรวมกันเป็นหนึ่ง เพราะปัญหาทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยและคนไทยทุกคนต้องรักษาสามัคคีกัน ต้องรวมกันให้ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นการเมืองไทยในประเทศที่เราต้องมาแบ่งฝ่ายว่ารัฐบาลทำงานไม่ได้ ทหารทำงานดีไม่ดี มันเป็นเรื่องที่เราจะต้องช่วยกัน และต้องขอความช่วยเหลือจากทุกๆ สื่อด้วย เพราะคนที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อคนกลุ่มมากหรือคนกลุ่มน้อยก็ตาม ต้องสื่อสารเรื่องนี้ว่าเมื่อเรามีปัญหาระหว่างประเทศ คนไทยต้องสามัคคีถึงจะมีแรงในการพูดคุยเจรจาหรือต่อสู้ก็ตาม ต้องใช้ความเป็นหนึ่ง ต้องใช้ความสามัคคี ความรักกันของคนในชาติ เพื่อที่จะสนับสนุนกัน
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า รัฐบาลไม่ใช่แปลว่าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง รัฐบาล ฝ่ายค้าน ประชาชนก็คือประเทศไทย ซึ่งเราขอความร่วมมือจากทุกคน การแสดงความคิดเห็น การปล่อยข่าวเฟกนิวส์ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ถามว่ารัฐบาลเคลื่อนไหวอย่างไร รัฐบาลทำเรื่องนี้เต็มที่ เราต้องรักษาอธิปไตยของเราไว้ นี่คือสิ่งที่สำคัญและจำเป็นว่าเราจะต้องทำอย่างแน่นอน
"ในส่วนของตัวรัฐบาลและทางทหารมีการคุยกันตลอดว่าจะไปทางไหนอย่างไร เราต้องมั่นใจว่าเราเป็นประเทศไทย เพลงชาติของเราก็บอกอยู่แล้วไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เราเตรียมพร้อมที่จะรักษาความปลอดภัยของคนไทยทุกคนอย่างแน่นอน ที่สงสัยว่าจะสงบสุขอย่างไร ตรงนั้นสงบสุขจริงหรือเปล่า จะบอกว่าไม่ต้องสงสัยเราเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์พร้อม เผื่อถ้ามีเหตุการณ์ปะทะขึ้นมา เราก็ต้องพร้อมในการรับมือ ไม่ใช่มาบอกว่าเราสันติวิธี แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ผิดคาดไม่พร้อม ไม่ได้ เราต้องพร้อมที่จะรับมือทุกรูปแบบ" น.ส.แพทองธารกล่าว
นายกฯ กล่าวว่า เราเลือกสันติวิธี เราเลือกสิ่งนี้ เราเลือกที่จะไม่อยากให้มีการปะทะกัน ไม่อยากให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อไม่ว่าจะเป็นคนประเทศไหนก็ตาม ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ตอนนี้อุปกรณ์พร้อม เครื่องมือพร้อม แต่พูดคุยได้ในทุกระดับ ก็อย่างที่แจ้งไปวันนี้เอง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะลงไปในพื้นที่ไปดูเหตุการณ์หน้างานว่าเป็นอย่างไรบ้าง และจะมีการนัดคุยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) วันที่ 14 มิ.ย.นี้ ก็จะมีการพูดคุยกันในรายละเอียด
"ก่อนที่จะมีการพูดคุยกัน เราก็ต้องคิดอยู่เสมอว่าคนในชาติของเราต้องรักและเข้าใจว่าความร่วมมือต่างๆ นั้นสำคัญมาก แต่ในรายละเอียดเล็กๆ ที่คุยกันในทุกระดับ เราทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถแถลงเปิดเผยทั้งหมด ได้ขอให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งนี้ และอย่ามองเรื่องนี้เป็นการเมืองภาพเล็กที่คนไม่สนับสนุนกันจะต้องมาต่อสู้กัน มันไม่จำเป็น มันไม่ใช่นาทีนี้ วันนี้คนไทยต้องรวมกันเพื่อที่จะปกป้องพื้นที่ของเรา ปกป้องคนไทยด้วยกันเอง ตรงนี้คือสิ่งสำคัญ" นายกฯ กล่าว
ถามว่า มองหรือไม่ว่าขณะนี้มีขบวนการสมคบคิดไทยกับกัมพูชาในการจุดไฟชายแดนเพื่อหวังผลทางการเมือง นายกฯ ถามกลับว่า ขบวนการสมคบคิดกับใคร คนไทยกับกัมพูชาหรือตน ไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าไม่มีแบบนั้น
เมื่อถามว่า นายกฯ อยากชี้แจงกรณีโซเชียลมีเดียโจมตีนายกฯ ถึงท่าทีที่ผ่านมา และมีการโยงไปถึงคนในตระกูลนายกฯ ดองกับคนสนิทของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ในระดับความสัมพันธ์ของผู้นำ ตนไม่เถียงเลยว่าเป็นมิตรกัน ซึ่งคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เราจะมีเพื่อน พร้อมกับย้อนถามสื่อมวลชนว่า คนข้างๆ เป็นเพื่อนหรือเปล่า ทุกคนมีเพื่อนได้ แต่ถามว่าถ้าวันหนึ่งเพื่อนทะเลาะกันหรือเพื่อนไม่เข้าใจ เราปรับความเข้าใจกันถูกใช่หรือไม่ มันก็คงเป็นเรื่องง่าย ถ้าสมมุติเป็นเรื่องนู้นเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องการค้าหรือเรื่องอะไรก็ตาม เรายกหูกันได้ นั่นคือสิ่งที่ทำตลอด ไม่ใช่เฉพาะกับกัมพูชาเท่านั้น ซึ่งก็ทำแบบนี้กับมาเลเซีย รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านก็ทำแบบนี้คือคุยตรง
"แต่ถามว่าถ้าเรามีปัญหาจริงๆ ที่ลึกซึ้ง เพื่อนวันนี้ทะเลากัน ฉันขอบ้านเธอได้หรือไม่ มันไม่มีเพื่อนคนนั้นที่ได้บอกว่าได้จ้ะ ให้บ้านกัน ไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องบอกว่าเพื่อนก็คือเพื่อน ความสัมพันธ์อันดีมีจริงๆ และตอนที่เกิดเรื่องของความไม่สงบ ตัวดิฉันกับนายกฯ กัมพูชาก็คุยกันว่าเราจะถอยความรุนแรงไม่ปะทะกัน ท่านก็ให้ความร่วมมือจริงๆ ณ วันนั้น พอมีเรื่องเกิดขึ้น ในระดับหน้างานเขาก็จัดการกัน จะต้องทำความเข้าใจตรงนี้ด้วย" น.ส.แพทองธารกล่าว
ซักว่าท่าทีของรัฐบาลดูนิ่งไป ควรที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์เชิงรุกหรือไม่ เพื่อเป็นการตอบโต้บ้าง นายกฯ กล่าวว่า เราดูในเรื่องความสงบสุข ถ้าปิดด่านชายแดนจะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ จะเกิดโทษหรือคุณอย่างไรบ้าง เรื่องนี้ปรึกษากับทางทหารมาโดยตลอดว่าควรขยับอย่างไรบ้าง หน้างานอุณหภูมิประมาณไหน เรื่องนี้คือสิ่งที่คุยกันตลอด และวันนี้ที่รัฐบาลออกแถลงการณ์ก็ได้มีการพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงทางทหาร ว่าเราจะออกแถลงการณ์แบบไหนให้ประชาชนทราบว่าเราพร้อมที่จะดูแลพี่น้องประชาชน และเราพร้อมที่จะคุยกับต่างประเทศด้วยสันติวิธี อันนี้คือใจความหลักที่จะเกิดขึ้น
เหวี่ยงสื่อโดนจี้เขมรรุกดินแดน
พอถามว่า ท่าทีของสมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ออกมาดูจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่นายกฯ พูดว่าจะมีการเจรจาตามลำดับ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า นั่นคือสิ่งที่เราต้องยืนยัน ถ้าเขาออกมารุนแรง แล้วเรารุนแรงกลับ ถามว่าสันติวิธีจะเกิดหรือไม่ แต่ถามว่าเราเตรียมรับมือหรือไม่ เราเตรียมแน่นอน แต่ถ้าเราเลือกได้ เราเลือกสันติวิธี และวันนี้เรายังเลือกได้
ถามว่า ทางกัมพูชาล้ำเข้ามาในพื้นที่แล้ว 200 เมตร น.ส.แพทองธารย้อนถามกลับว่า ได้ไปดูหน้างานแล้วหรือยัง เมื่อย้ำว่าแม่ทัพภาค 2 พูดชัดเจนว่ามีการรุกล้ำ นายกฯ ชี้นิ้วไปที่ผู้สื่อข่าวที่ถาม พร้อมระบุว่า ใช่ค่ะ และกล่าวว่า นายภูมิธรรมจะลงพื้นที่ไปดูหน้างาน
น.ส.แพทองธารยังได้บอกผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวว่า ไปดูด้วยกันเลยก็ได้ โดยผู้สื่อข่าวรายนั้นกล่าวตอบว่า นายภูมิธรรมไม่พาไป ก่อนที่นายกฯ จะร้องอ่อ และกล่าวว่า เขาไม่พาไป พร้อมกับหัวเราะและปลอบผู้สื่อข่าวรายนั้นว่า ไม่เป็นอะไรนะคะ โดยผู้สื่อข่าวตอบว่า ไม่เสียใจ ก็มาถามกับนายกฯ ได้ ซึ่งนายกฯ ได้กล่าวว่า นึกว่าเสียใจ จะบอกว่าไม่เป็นอะไรนะคะ พร้อมกับหัวเราะ ก่อนจะถามสื่อมวลชนว่าเป็นอะไรหรือเปล่า นักข่าววันนี้ดุจังเลย ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะระบุว่า “ไม่ได้ดุค่ะ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการให้สัมภาษณ์ น.ส.แพทองธารได้เดินมาหาผู้สื่อข่าวที่สอบถามประเด็นชายแดนดังกล่าว โดยระบุว่า “จะมาถามว่ามีอะไรหรือเปล่า หายไปไหนแล้ว เขาโกรธอะไรหรือวันนี้ หน้าเขาดูเหวี่ยงมากเลย จึงเดินมาดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะพี่อ้วนไม่ชวนลงพื้นที่หรือ งง เพราะเขากระฟัดกระเฟียด” ทำให้สื่อมวลชนที่ยืนอยู่บริเวณดังกล่าวชี้แจงว่า ไม่ใช่ เสียงเขาเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครโกรธนายกฯ และที่ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวออกไปก่อนแล้ว เพราะออกไปทำแถลงข่าวอีกที่หนึ่ง
มีรายงานว่า ในที่ประชุม ครม. นายกฯ ได้พูดกับ ครม.ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นในที่ประชุม ครม.มาก่อน โดยใช้เวลาพูดประมาณ 3 นาที ในทำนองว่า ในสถานการณ์นี้คนไทยต้องรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นปัญหาของประเทศชาติ ไม่ใช่ปัญหาของพรรคการเมือง ไม่ใช่ปัญหาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงแถลงการณ์รัฐบาลว่า ในแถลงมีเรื่องของการจุดยืนอธิปไตยของประเทศ ยึดมั่นในบูรณภาพเหนือดินแดนไทย รวมถึงสิทธิทางกฎหมายของไทย และแก้ไขปัญหาโดยหลีกเลี่ยงความรุนแรง ในบางเรื่องเราไม่ได้เอ่ยถึง เพราะเขาพยายามขยายวงไปถึงศาลโลก เราพยายามจะจำกัดวงไม่ให้ไปถึงจุดนั้น เราจะพูดเฉพาะจุดปะทะและยึดเอ็มโอยู 43 เนื่องจากง่ายในการหาข้อสรุปร่วมกันได้
ถามว่า ทหารพยายามเสนอปิดด่านเพื่อไปกดดันให้ทหารกัมพูชาถอนกำลังออกจาก 200 เมตร นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า เรื่องนี้มีกระบวนการอยู่แล้ว อยากให้รอไปดูในเวทีเจบีซี
ช่วงเย็น นายภูมิธรรมพร้อมด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม, พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ., พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และคณะ ลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาข้อขัดข้องและให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ ณ กองกำลังสุรนารี จังหวัดอุบลราชธานี จากนั้นเดินทางโดยรถยนต์ไปยัง ฐานปฏิบัติการเนิน 500 (สามเหลี่ยมมรกต) ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้กับต้นพญาสัตบรรณและชายแดนไทย-กัมพูชา
ทอ.กางแผนซื้อกริพเพนอีเอฟ
ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่ภาพ AI ที่เกี่ยวข้องกับนายภูมิธรรมที่ไม่เหมาะสมว่า ได้สั่งการให้มีการปราบปรามข่าวปลอม โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลต่อความขัดแย้ง หากตรวจพบว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลกรณีชายแดนไทย-กัมพูชาว่า วุฒิภาวะและภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรียังถือว่าพร่อง วันนี้ที่นายกฯ แถลงเรื่องดังกล่าวควรเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจ แต่กลายเป็นประเด็นที่นายกฯ ไม่พอใจนักข่าวที่ไปสอบถามในประเด็นนี้ จุดยืนของไทยอ่อนไปหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่ประเทศชาติอยู่ในสภาวะวิกฤตทางชายแดนแบบนี้
ส่วน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีที่ตั้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมทรัพยากรและกำลังเจ้าหน้าที่สำหรับการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง สนับสนุนเจ้าหน้าที่ทหารอย่างเต็มกำลังในกรณีความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น
วันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการจะนำเรื่องจัดซื้อเรือดำน้ำกับเครื่องบินกริพเพนเข้าที่ประชุม ครม.ว่า ยังไม่เข้า ซึ่งกองทัพอากาศเตรียมแถลงเครื่องบินรบฝูงใหม่เป็นเครื่องบินกริพเพนนั้น สามารถดำเนินการได้ แต่อย่างไรก็ต้องรอสัญญาณจากรัฐบาล ถ้ายังไม่นำเข้า ครม.ก็ยังไม่มีผลอะไร
ต่อมาที่กองทัพอากาศ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. นำแถลงบทสรุปการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทนเครื่องบิน F-16 จากกองบิน 1 ที่ใช้มากกว่า 37 ปี โดยโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ รวม 10 ปี ซึ่งระหว่างนี้ยังต้องใช้ F-16 ไปอีกประมาณ 10 ปี ว่ากองทัพอากาศคัดเลือกจาก 20 แบบ จนเหลือ 6 แบบ และเหลือ 2 แบบ ในที่สุดก็เลือกเครื่องบิน Gripen E/F (กริพเพนอีเอฟ) ซึ่งตอบโจทย์ในเรื่องของการต่อยอดพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ เรื่องของการชดเชยมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดรูปแบบการจัดหาเป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจีทูจี ซึ่งการเจรจาทุกท่านขั้นตอนกับสวีเดนได้ข้อยุติแล้ว
พล.อ.ต.พูนศักดิ์ ปิยะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กองทัพอากาศ กล่าวว่า ทอ.จะเสนอเรื่องให้กองทัพไทยในต้นเดือน มิ.ย. และคาดว่ากองทัพไทยจะเสนอเรื่องให้กับกระทรวงกลาโหมได้กลางเดือน มิ.ย. โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งร่างสัญญาให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายต่างๆ และส่งเรื่องต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเข้าสู่ ครม.ภายใน 15 ก.ค.68 โดยภายหลังเห็นชอบให้กองทัพอากาศดำเนินการ และลงนามในสัญญา ซึ่งคาดว่าจะลงนามได้ในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้
จากนั้น พล.อ.อ.พันธ์ภักดีให้สัมภาษณ์กรณีนายภูมิธรรมระบุการแถลงข่าวของ ทอ.วันนี้ไม่มีผลว่า ก่อนที่เราจะแถลงข่าวได้นำเรียนให้นายภูมิธรรมได้รับทราบทุกขั้นตอน ถือว่าได้รับการอนุญาตให้มีการแถลงข่าวในครั้งนี้แล้ว โดยโครงการดังกล่าวสร้างความมั่นใจได้สูงสุด เพราะเรามีกระบวนการคัดเลือกคัดสรรอย่างโปร่งใสและยุติธรรม และเกิดประโยชน์ทางด้านความมั่นคง เกิดประโยชน์กับภาพรวมของประเทศชาติมากที่สุด ขอยืนยันว่าเราได้ทำทุกอย่างตามนโยบายที่รัฐบาลได้มอบไว้ให้ มั่นใจว่าเป็นแนวทางเดียวกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เตือน‘สายตี้’โดนหนัก สกัดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่
เปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569
ฉายาสภาสูง‘รังของหนู’
ฉายาสภา 68 “รังหนอนสีเทา” ขณะที่สภาสูงคือ “รังของหนู”
ขา11เซ่นหยุดยิง ‘ฮุน’ยื่นถกเขตแดน
“ขาที่ 11” หลังหยุดยิง ทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ “เขาสัตตะโสม” เขมรยังส่งโดรน 250 ลำก่อกวน
‘แบงก์ชาติ’เข้ม ออกมาตรการ กันเงินไหลเข้า
เริ่มแล้ว!! "แบงก์ชาติ" ยกระดับความเข้มงวดตรวจสอบธุรกรรมเงินตราต่างประเทศขาเข้า
พรรคเราก็มีเทา! ผู้สมัครโดนคดีฟอกเงิน ‘อนุทิน’หยอก‘กลืนส้ม’
โป๊ะแตก! เรามีเทาอยู่ในพรรค ผู้สมัคร สส.กทม.เขตบางพลัด "พรรคส้ม"
ด่วน! ทหารเหยียบกับระเบิดขาที่ 11 ขณะเข้าเคลียร์พื้นที่ 'สัตตะโสม'
ทหารเหยียบกับระเบิดขาที่ 11 ทบ.เผยเกิดเหตุในพื้นที่ "สัตตะโสม"ขณะที่เข้าเคลียร์พื้นที่ชายแดน เพจกองทัพบกเดือด จี้กัมพูชาต้องชัดเจนเรื่องเก็บกู้ทุ่นระเบิด

