สศช.จับตาคนไทยติดหรู ห่วงเด็กจบใหม่ตกงาน!

"สภาพัฒน์" เผยภาวะสังคมไตรมาส 1/68 ว่างงานลดลง 0.88% ห่วงเด็กจบใหม่ยังเสี่ยงตกงานสูง ส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีไตรมาสแรกปี 68 ลดลง 88.4%  จับตาพฤติกรรมคนไทยติดหรู เสี่ยงใช้จ่ายเกินตัว "พิชัย" นั่ง ปธ.กมธ.งบฯ 69 ตั้งรองประธาน 18 คน วางกรอบประชุมทุกสัปดาห์ จ.-ศ. เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า อัตราการว่างงานในไตรมาส 1/2568 ลดลง มาอยู่ที่ 0.88% จากไตรมาส 1 ปี 2567 ที่อยู่ที่ 1.01% ซึ่งมีผู้ว่างงานประมาณ 3.6 แสนคน ลดลงในกลุ่มที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาวที่ลดลง 14.3% หรือมีจำนวน 6.8 หมื่นคน โดยกลุ่มผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนมีกว่า 74.3% ว่างงานเพราะหางานไม่ได้ และพบว่าผู้เสมือนว่างงานมีจำนวนกว่า 4.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นเทียบกับช่วงก่อนหน้าถึง 14.6%

สำหรับสถานการณ์หนี้สินครัวเรือน ไตรมาส 4/2567 มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัวในอัตราชะลอลง 0.2% ซึ่งชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่หดติดต่อกัน สาเหตุจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับลดลง 88.4% จาก 88.9% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยหนี้สินครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญ 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคแบบติดหรู ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลในปี 2567 พบว่าคนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury) และบริการระดับพรีเมียม อาทิ อาหารเครื่องดื่ม บัตรคอนเสิร์ต บริการเสริมความงาม ของสะสม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและการยอมรับจากสังคม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการก่อหนี้เกินตัว

โดยสาเหตุมาจากความต้องการได้รับการยอมรับและได้แสดงสถานะทางสังคม โดยเพศชายมีความต้องการโดดเด่นที่มากกว่าเพศหญิง ซึ่งสินค้าที่นิยมซื้อแบบติดหรูได้แก่อุปกรณ์เทคโนโลยี ขณะที่เพศหญิงนิยมซื้อสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยในสัดส่วน 50% มีเงินออมสำหรับยามฉุกเฉินน้อยกว่า 6 เดือน ทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สะท้อนปัญหาการขาดความรู้ และการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม

นายดนุชากล่าวว่า 2.เป็นการผลักดันให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครดิตบูโร จากข้อมูลของกรมส่งเสริมสหกรณ์ในปี 2567 พบว่าสหกรณ์ทุกประเภทมีการปล่อยกู้ให้สมาชิกมูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท แต่สหกรณ์ที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโรยังมีจำนวนน้อย ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนทำได้ยาก นอกจากนี้จากข้อมูลของเครดิตบูโรในไตรมาส 3/2567 พบว่าหนี้เสียของลูกหนี้สหกรณ์มีการขยายตัวสูงที่สุดเมื่อเทียบกับลูกหนี้ประเภทอื่น โดยสมาชิกส่วนใหญ่ของสหกรณ์ประกอบอาชีพข้าราชการ  พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือกลุ่มเกษตรกร ที่มีความเสี่ยงก่อหนี้ซ้ำซ้อนหากไม่มีวินัยทางการเงินที่ดี

โดยกรณีการเข้าร่วมเครดิตบูโรของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูประจวบคีรีขันธ์ พบว่าสามารถปรับพฤติกรรมทางการเงินผ่านการให้คำปรึกษา การประเมินข้อมูลเครดิต และประสานข้อมูลกับสถาบันทางการเงินอื่น เพื่อให้สมาชิกสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่เหมาะสมกับศักยภาพของตนเองได้ การเชื่อมโยงข้อมูลกับเครดิตบูโรจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ ที่สามารถช่วยให้ประชาชนสามารถหลุดจากปัญหาหนี้สิน รวมถึงเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม ดังนั้นภาครัฐควรผลักดันเชิงนโยบายให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกกับเครดิตบูโร เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความมั่นคงทางการเงินของประชาชนในระยะยาว

สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การประยุกต์ใช้นวัตกรรมเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ SMEs 2.การสร้างหลักประกันกรณีถูกเลิกจ้างให้แก่แรงงาน โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานให้แก่ลูกจ้าง เมื่อมีการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิด แต่ที่ผ่านมามีลูกจ้างไม่ได้รับการจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานประกอบการจากต่างประเทศ จึงควรมีการศึกษาและกำหนดมาตรการที่ชัดเจนเพื่อให้ลูกจ้างได้รับการชดเชยอย่างที่ควรจะเป็น

และ 3.เด็กจบใหม่อาจเสี่ยงต่อการตกงาน ซึ่งผลสำรวจพบว่าผู้บริหารกว่า 89% มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ เพราะมองว่าขาดประสบการณ์  ทักษะ และมีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก และเลือกที่จะหันไปจ้างฟรีแลนซ์/พนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทน หรือปล่อยให้ตำแหน่งว่าง ดังนั้นเด็กจบใหม่จึงควรเตรียมความพร้อมของตนเอง ทั้งด้านทักษะและทัศนคติ ขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับรูปแบบการเรียนการสอน

ที่รัฐสภา น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี  พรรคภูมิใจไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 เปิดเผยถึงผลการประชุม กมธ.ฯ นัดแรกว่า มติที่ประชุมให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง ดำรงตำแหน่งประธาน กมธ.ฯ โดยมีรองประธาน กมธ.ฯ จำนวน 18 คน มีเลขานุการ กมธ.ฯ 9 คน และโฆษก กมธ.ฯ 8 คน

รองประธาน กมธ.ฯ 18 คนประกอบไปด้วย นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่1, นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 2, นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 3,  นายจักรพงษ์ แสงมณี ที่ปรึกษานายกฯ เป็นรองประธานกมธ.ฯ คนที่ 4, นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 5 และ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รองหัวหน้าพรรคกล้าธรรม เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 6, นายวิสาร เตชะธีรวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 7, นายพงศกร อรรณนพพร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 8

นายอนุรักษ์ จุรีมาศ สส.ร้อยเอ็ด พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 9, นายจีรเดช ศรีวิราช สส.พะเยา พรรคกล้าธรรม เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 10, น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช สส.ลพบุรี พรรคภูมิใจไทย เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 11, นายอาสพลธ์ สรรณ์ไตรภพ สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 12, นางสุพัชรี ธรรมเพชร สส.พัทลุง  พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 13, นายอนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ  เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 14, นายอับดุลอายี สาแม็ง  สส.ยะลา พรรคประชาชาติ เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 15, นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการ รมว.คมนาคม เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 16, นายธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นรองประธาน กมธ.ฯคนที่ 17 และ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน เป็นรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 18

ส่วนโฆษก กมธ.ฯ 8 คน ประกอบไปด้วย 1.น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย 2.นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย 3.น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย 4.นายนิติศักดิ์ ธรรมเพชร สส.พัทลุง พรรครวมไทยสร้างชาติ 5.นายวันนิวัติ สมบูรณ์ สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย 6.ว่าที่ร้อยโท ยุทธการ รัตนมาศ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ 7.นายกฤดิทัช แสงธนโยธิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม และ 8.นายรวิศ สอดส่อง หัวหน้าคณะทำงาน รมว.ยุติธรรม

ทั้งนี้ กมธ.ฯ ได้กำหนดกรอบเวลาการประชุมดังนี้  กมธ.ฯ ประชุมวันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันเสาร์-วันอาทิตย์  และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ดังนี้ วันจันทร์ เวลา 13.00-21.00  น. (7 ชม.) วันอังคาร เวลา 09.00-21.00 น. (10 ชม.) วันพุธ เวลา 09.00-18.00 น. (8 ชม.) วันพฤหัสบดี เวลา 09.00-21.00 น. (10 ชม.) และวันศุกร์ เวลา 09.00-16.00  น. (6 ชม.) รวมทั้งสิ้น 41 ชม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.