"กต." เผยสถานการณ์ชายแดนมีพัฒนาการทางบวก “ฮุน เซน-ฮุน มาเนต” ยืนกรานกัมพูชาไม่ได้ถอนทหาร แค่ปรับกำลังพลลดตึงเครียด เปรียบเปลี่ยนท่านอนบนเตียงตัวเองเท่านั้น “นายกฯ อิ๊งค์” เมินตอบคำถาม ส่วน “ภูมิธรรม” อ้างมาจากผลงานเจรจาระดับผู้นำตั้งแต่วันศุกร์ หลังนายกฯ ไทยต่อสายคุยนายกฯ เขมร “นิกรเดช” เผยไทยก็หั่นเวลาคนเขมรอยู่ไทยเหลือ 7 วันเหมือนกัน ย้ำปิดด่านยังอยู่และเตรียมชงตัดไฟ-ตัดเน็ตเข้า สมช.อีกรอบ หลายเสียงบอกความขัดแย้งยังไม่จบ
เมื่อวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2568 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงมีความร้อนแรงต่อเนื่อง โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้แถลงถึงพัฒนาการของสถานการณ์ว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. กองกำลังของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาออกสำรวจแนวพื้นที่และแนวคูเลตร่วมกัน โดยมีการกลบฝังพื้นที่ร่วมกัน พร้อมปรับกำลังของทั้งสองฝ่ายให้อยู่ในแนวพื้นที่ที่ได้ตกลงกันไว้ในช่วงสถานการณ์ปกติเมื่อปี 2567 ซึ่งฝ่ายไทยเห็นว่าพัฒนาการทางบวกล่าสุดนี้ส่งสัญญาณที่ดี และสะท้อนถึงความจริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการลดความตึงเครียดของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นผลจากการเจรจาในทุกระดับของทั้งสองฝ่าย และเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีที่จะนำไปสู่การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ที่จะเกิดขึ้นในอีก 5 วันนับจากนี้
“การประชุมเจบีซีที่ฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 14 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ที่กรุงพนมเปญ จะสามารถลดความตึงเครียดของสถานการณ์ในภาพรวมที่ยังคงมีความเปราะบางอยู่ในขณะนี้ และนำไปสู่การหาทางออกที่ยั่งยืนในท้ายที่สุด ซึ่งฝ่ายไทยมีความสุจริตใจ และพร้อมเห็นความร่วมมือในการทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีดียิ่งขึ้น” นายนิกรเดชกล่าว
นายนิกดรเดชกล่าวอีกว่า รัฐบาลไทยขอยืนยันความเชื่อมั่นว่า การใช้กลไกที่ไทยและกัมพูชามีอยู่ระหว่างกัน เช่น เจบีซี, คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) และการเจรจาทวิภาคีในทุกระดับ จะเป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆ เพื่อให้ประเทศของเราทั้งสอง ในฐานะครอบครัวอาเซียนอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แต่ขอย้ำความเข้าใจในเรื่องมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนต่างๆ ว่าจะยังคงมีการดำเนินมาตรการต่อไป ตามการประเมินของฝ่ายความมั่นคง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดน
“ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) ได้ประกาศยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น ตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ก่ออาชญากรรม โดยจะนำเสนอมาตรการดังกล่าวต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติต่อไป”
เมื่อถามถึงกรณีสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชาจำกัดวีซ่าคนไทยจาก 60 วัน เหลือ 7 วัน นายนิกรเดชระบุว่า ได้รับเรื่องแล้ว ซึ่งฝ่ายไทยก็ได้ปรับลดแล้วเช่นเดียวกันเหลือ 7 วัน แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการไปถึงเมื่อไหร่ รอให้สถานการณ์ดีขึ้น และรอให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้ากลับมาคุยกันเรื่องของจำนวนวันในการเข้าประเทศอีกครั้ง
ตระกูลฮุนอ้างไม่ได้ถอน
ด้านสมเด็จฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณสามเหลี่ยมมรกต หรือช่องบก โดยระบุว่า ทหารกัมพูชาและไทยตกลงร่วมกันปรับกำลังพลเพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดที่อาจลุกลาม โดยย้ำว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งการปรับกำลังทหารไม่ใช่การถอนทหารออกจากดินแดนของตนเอง แต่ยังคงอยู่ภายในดินแดนของตนเอง เปรียบเหมือนการนอนบนเตียง ที่เรายกศีรษะขึ้นเพื่อเปลี่ยนท่านอน ไม่ใช่การลุกออกจากเตียง เพราะดินแดนยังคงเป็นของเรา
พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กเช่นกันว่า กระทรวงกลาโหมประเทศกัมพูชาแถลงข่าวยืนยันจุดยืนชัดเจน กองทัพกัมพูชา ชายแดนกัมพูชา-ไทย ไม่มีการถอนกองทัพกัมพูชาออกจากพื้นที่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และกองทัพของเราครอบครองมานานแล้ว การเตรียมการทั้งหมดของกองทัพกัมพูชา รวมถึงการยืน การใช้กําลัง การปรับเปลี่ยนกําลัง การระดมกําลัง อยู่ในอํานาจอธิปไตยของกัมพูชา และอยู่ในเป้าหมายของความพร้อมในการปกป้องดินแดนของกัมพูชา กองทัพกัมพูชาสนับสนุนความพยายามที่จะหาทางออกอย่างสงบสุขให้กับปัญหา แต่พร้อมที่จะใช้คําสั่งของรัฐบาลเพื่อปกป้องอธิปไตยของดินแดนต่อต้านความพยายามบุกรุกทั้งหมด
“กองทัพกัมพูชาพร้อมร่วมสนับสนุนกลไกการเจรจาต่อรองชายแดนกับประเทศไทย ซึ่งมีคณะกรรมการชายแดนที่หลากหลาย เพื่อวัดพรมแดนและทําให้สองประเทศที่เหลืออยู่คงที่ นอกจากจุดที่กัมพูชาจะส่งต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)”
มีรายงานถึงเบื้องหลังการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา ในการปรับถอยกำลังจุดปะทะช่องบก สามเหลี่ยมมรกต ว่าเจ้าหน้าที่ทหารบกระดับสูงฝ่ายไทยได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการของกัมพูชา โดยกัมพูชาได้สอบถามเรื่องมาตรการตัดไฟจริงหรือไม่ ซึ่งไทยได้ยืนยันจะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักตามหลักสากล โดยขั้นสุดท้ายก็จะเป็นการตัดไฟ เพราะการวางกำลังของกัมพูชาได้ล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย ทำให้กัมพูชาได้ไปเสนอต่อสมเด็จฮุน เซน ว่าอยากให้ทั้งสองฝ่ายปรับกำลังในพื้นที่ กลับไปอยู่ในจุดเดิมเมื่อปี 2567 จึงเป็นที่มาของการที่ พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้ประสานไปยัง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อขอหารือเรื่องปรับกำลังดังกล่าว โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ได้รายงานมายังผู้บัญชาการทหารบก จึงได้มีคำสั่งให้จัดชุดหารือ นำโดยผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี (ผบ.กกล.สุรนารี) เข้าไปพูดคุยกับกัมพูชา จึงเป็นที่มาของการปรับกำลังในพื้นที่ดังกล่าว
ด้านความเคลื่อนไหวของรัฐบาลนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธตอบทุกคำถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำได้เพียงยิ้มก่อนเดินขึ้นรถจากไปทันที
ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการถอนกำลังทหารที่ช่องบกว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จ เป็นกระบวนการที่มีการพูดคุยกันทุกระดับ ตั้งแต่ระดับสูง นายกฯ, รองนายกฯ, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.), ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และแม่ทัพภาคที่ 2 มีการประสานงานกันตลอด ในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาเราได้คุยกันตลอด เราอยากขอลดการเผชิญหน้า
“เราได้คุยกันตั้งแต่ น.ส.แพทองธารคุยกับ พล.อ.ฮุน มาเนต ผมคุยกับ พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ก็มีข้อสรุปขั้นต้นและพยายามคุยกันต่อ ซึ่งถือว่าเราประสบความสำเร็จในการยุติการเผชิญหน้าที่เป็นข้อแรกสุดที่เราอยากได้ เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลง ขณะนี้ถือว่าอยู่ในจุดที่ยุติเรียบร้อยแล้ว”
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต่อจากนี้จะเป็นการประชุมเจบีซีในวันที่ 14 มิ.ย. ซึ่งวาระที่คุยกันตั้งแต่ต้นยังเป็นวาระเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ข้อเสนอของฝ่ายกัมพูชาจะคุยในเชิงเทคนิค แต่เราอยากให้เคลียร์ตรงนี้ให้ชัดเจน ส่วนกรณีปราสาทต่างๆ เรายังยืนยันว่ายังไม่อยากพูดคุยในรอบนี้ หากเขาหยิบขึ้นมาเราก็พร้อมรับฟัง ต้องดูว่าวันที่ 14 มิ.ย.จะคลี่คลายไปอย่างไร ส่วนการปิดด่านต่างๆ มติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อสัปดาห์ก่อนได้ให้หน้างานประเมินตามความเป็นจริง โดยได้คุยกับ ผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 2 แม่ทัพภาคที่ 1 และกองกำลังจันทบุรีแล้ว ว่าเราจะค่อยๆ ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เพราะเราไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว
โอ่ผลงานคุยผู้นำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ความสำเร็จเกิดจากมาตรการจำกัดเวลาปิดด่านหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า มีหลายมาตรการ แต่สิ่งสำคัญคือการประสานงานที่คุยกับ พล.อ.ฮุน มาเนต และสมเด็จฮุน เซน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คลี่คลายลง หลังจากท่าทีทั้งสองมีความเข้าใจมากขึ้น กระบวนการจากกองทัพกัมพูชาจึงได้เกิดขึ้น และมาตรการที่เราทำอาจจะเป็นส่วนเสริมสำคัญที่ทำให้การพูดคุยมันเกิดเป็นข้อสรุปได้ง่ายขึ้น
ต่อมานายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์อีกครั้ง กรณีสมเด็จฮุน เซน ระบุว่าพื้นที่ช่องบกเป็นของกัมพูชา แต่ไทยเรียกพื้นที่นั้นว่าโนแมนแลนด์ ว่าพื้นที่ทั้งหมดที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้เป็นพื้นที่ของไทยทั้งหมด และเราจะรักษาอธิปไตยของไทยอย่างเต็มที่ แต่ที่ผ่านมามีการอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา กัมพูชาก็อ้างไป ในขณะที่ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งต้องเข้าใจว่าการจะหาข้อสรุปไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องหาวิธีในการแก้ไขปัญหาบางพื้นที่ ได้ทำเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม
“ปัจจุบันนี้ไทยก็อ้างสิทธิ์ของเรา ส่วนท่านฮุน เซน ก็จะบอกว่าเป็นสิทธิ์ของท่าน เราก็ไม่ต้องมาเถียงกัน ทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะอ้าง ต้องหาวิธีในการเจรจากัน ถือว่าขณะนี้เราดำเนินการในขั้นต้นประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ไม่อยากให้เกิดการเผชิญหน้า เพราะห่วงจะมีกระสุนนัดแรกจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
นายภูมิธรรมยังย้ำถึงการประชุมเจบีซีว่า จะพูดคุยเรื่องจุดปะทะบริเวณช่องบก รวมถึงมาตรการร่วมกันในอนาคต ส่วนที่ รมว.กลาโหมกัมพูชาได้แสดงจุดยืน จะไม่นำเรื่องช่องบกไปพูดคุยในที่ประชุมเจบีซีนั้น การพูดคุยเราได้จำกัดพื้นที่อยู่แล้ว ปราสาทอื่นๆ จะไม่หยิบเข้ามาพูด แต่เฉพาะพื้นที่ช่องบกเท่านั้น เพราะเป็นพื้นที่เกิดเหตุการณ์ปะทะ ยังไงก็ต้องคุยกันเรื่องนี้ คณะกรรมการเจบีซีฝ่ายไทยและกัมพูชาชัดเจนอยู่แล้วว่าจะคุยเรื่องใดบ้าง อยากให้รอ ปัญหาเรื่องช่องบกได้พูดคุยแน่นอน
เมื่อถามว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถพูดได้หรือไม่ว่าสบายใจ 100% นายภูมิธรรม กล่าวว่า บรรยากาศดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการเผชิญหน้า การพูดคุยในเรื่องนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง ปล่อยให้กระบวนการสันติวิธีดำเนินการไป ซึ่งต้องยอมรับว่ามีคนที่รักและหวงแหนอธิปไตย อยากจะสู้รบเพื่อให้เกิดความชัดเจน แต่ต้องยอมรับว่าประชาชนตามแนวชายแดนจะได้รับผลกระทบ ทั้งเรื่องความปลอดภัย ชีวิตทรัพย์สิน เพราะไม่ใช่เรื่องที่สนุก ที่ประชาชนในพื้นที่ต้องมาเผชิญกับสงคราม
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ดีขึ้นมากแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้แสดงให้เห็นว่า ในท้ายที่สุดแล้วความสัมพันธ์ที่ดีมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ซึ่งอาจมีความไม่เข้าใจกัน รัฐบาลจึงพยายามที่จะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีในการแก้ปัญหา ไม่ใช่การใช้อารมณ์เหมือนกับที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ตรงนี้จึงถือเป็นบทเรียนที่สำคัญ
ถามถึงกระแสข่าวเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทหารฝ่ายกัมพูชายอมถอยกลับไปในเขตแดนประเทศของตนเองแล้ว นายมาริษระบุว่า อย่าไปใช้คำว่าเขาถอยทหาร มันไม่จำเป็น เดี๋ยวเราจะไปคุยกันต่อ ยอมรับว่าเป็นสัญญาณที่ดี รัฐบาลพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นต้องอดกลั้นกันทุกฝ่ายเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น ต่อไปจะได้คุยกันอย่างชัดเจน และเราก็จะได้เข้าใจกัน ไม่ทิ้งปัญหาให้เป็นภาระต่อไปในอนาคต ฉะนั้นก็ต้องปล่อยให้เขาเจรจากันไป
ลั่นดูแลแนวหลังไม่เปลี่ยน
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าแม้ทหารกัมพูชาจะถอยทัพ แต่กระทรวงมหาดไทยยังอยู่ในพื้นที่ เป็นแนวหลังสนับสนุนดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ส่วนเรื่องแนวชายแดนเป็นเรื่องของทหาร
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงพื้นที่เมื่อวานนี้ของนายอนุทิน ทำให้เกิดเสียงชื่นชม ว่าเมื่อกลับจากต่างประเทศแล้วลงพื้นที่ทันที นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องการเมือง เมื่อภัยศึกประชิดชายแดน ภารกิจของกระทรวงมหาดไทยชัดเจนอยู่แล้วคือ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ดังนั้น ต้องไป เพื่อให้คนที่ปกป้องชายแดนไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครองอยู่แล้ว
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ขอบคุณทหารทุกนายที่ทุ่มเท เสียสละ ปฏิบัติภารกิจปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติ ได้อย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรี ด้วยความอดทน อดกลั้น และขอให้ทหารทุกนายติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติอย่างต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดน และประชาชนชาวไทยทั่วประเทศต่อไป
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาว่า หากจะเรียกว่าคลี่คลายยังคงเร็วเกินไป แต่เรียกว่ากลับไปสู่สถานการณ์เริ่มมีแนวทางที่จะเจรจากันอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ แสดงว่ามาตรการในการจูงใจให้กัมพูชากลับเข้าร่วมโต๊ะเจรจาอีกครั้งถือว่าได้ประสิทธิผลตามสมควร
“กัมพูชาจะมีความชอบธรรมอะไรที่จะนำข้อพิพาทนี้ไปสู่การคลี่คลายในเวทีอื่น เพราะเราไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิดเอ็มโอยู 43 และข้อเรียกร้องจนถึงปัจจุบันไทยไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติมเลย เราเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพเอ็มโอยู 43 ที่เราและเขาได้ลงนามร่วมกันโดยสมัครใจ ดังนั้นเราต้องมองสถานการณ์ให้ออก” นายวิโรจน์กล่าวถึงข้อเสนอที่กัมพูชาอยากให้ไทยไปศาลโลก
ส่วนความเคลื่อนไหวของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) นายมงคล สุระสัจจะ ประธาน สว. นำคณะ สว.แถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญตามมาตรา 165 รับฟังความคิดเห็นของ สส.และ สว.เพื่อหารือถึงสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.จนถึงปัจจุบัน โดยนายมงคลได้อ่านแถลงการณ์ สว.และเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดประชุมเร็วที่สุด และต่อมานายมงคลได้มอบหมายให้นายพิชาญ พรศิริประทาน สว. ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ซึ่งเป็นแถลงการณ์ของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ที่ขอให้ ครม.เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯ มารับหนังสือ
ด้านนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยกลุ่มกองทัพธรรม และกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) นัดรวมตัวบริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ และเดินเท้าไปยังกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีการร้องเพลงปลุกใจและถือธงชาติไทย เพื่อยื่นหนังสือถึงนายมาริษ เรียกร้องให้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะกรณีการรุกล้ำดินแดน และมีข้อเสนอดังนี้ 1.กต.ต้องส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อกัมพูชา 2.ต้องยืนยันว่าพื้นที่พิพาทเป็นอธิปไตยของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน 3.ต้องกล้าประกาศจุดยืนในนามรัฐบาลไทย ไม่ใช่บุคคลหรือกลุ่มการเมือง และ 4.เพิ่มน้ำหนักต่อการเจรจาในเวทีระดับโลก
พี่ศรียื่นสอย 'อิ๊งค์-อ้วน'
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน และประชาชนผู้รักชาติ มายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวน น.ส.แพทองธาร และนายภูมิธรรม กรณีปล่อยให้ทหารกัมพูชารุกล้ำยึดครองอาณาเขตประเทศไทยบริเวณช่องบก จ.อุบลฯ มากถึง 150-200 เมตร นานกว่า 10 วัน โดยไม่ยอมสั่งการหรือใช้อำนาจตามกฎหมายในฐานะประธานและรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 1, กฎหมายอาญา มาตรา 119 และมาตรา 157 รวมทั้งอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย
ขณะที่นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการ รมว.การต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ "ยังไม่จบ" โดยระบุว่า "ทหารเขมรยอมถอยออกจากดินแดนไทยช่องบก ยอมกลบแนวคูเลตที่ขุดล้ำในดินแดนไทย เหมือนไทยจะชนะยกแรก แต่สงครามยังไม่จบ ผู้นำกัมพูชายังไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมา ฮุน เซนยังไม่ยอมแพ้ ยังไม่เลิกเคลมช่องบก สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย ว่าเป็นของกัมพูชาและจะนำขึ้นสู่ศาลโลก"
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต สว. โพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์ว่า "คำแถลงของฮุน เซน เป็นความฉลาดแกมโกง เพื่อรักษาสิทธิ์ที่เคยอ้างว่าเป็นดินแดนของตน ต่างกับผู้นำของไทย ทั้งทักษิณและผู้นำรัฐบาลไปเรียกพื้นที่ดังกล่าวโนแมนแลนด์ เหมือนไปยอมรับว่าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทั้งๆ ที่ไทยเป็นเจ้าของ ทักษิณและผู้นำรัฐบาลไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้"
นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "กลศึกออกญานักโกงเมือง+พระยาละแวก จบชั่วคราว เป้าหมายแค่เบี่ยงประเด็นชั้น 14 บ่อนกาสิโน ตรึงทหารไว้ชายแดน ผลประโยชน์ร่วมจริงยังอยู่ในทะเล เกาะกูด แหล่งพลังงานคนละครึ่ง"
ที่ห้องรับรอง 321 กองบัญชาการกองทัพบก คณะนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 66 (วปอ.รุ่นที่ 66) นำโดยนายโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ น.ส.ปิยะธิดา ประดิษฐบาทุกา พร้อมคณะ ได้มอบเงิน สิ่งของและเครื่องดื่ม รวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท ให้แก่กำลังป้องกันชายแดนกองทัพบกที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะเป็นผู้แทนรับมอบ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69


