เคลียร์ไม่ลงตัว! คลังแจงเลื่อนประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เหตุอนุ กก.กลั่นกรองโครงการจัดสรรงบ 1.57 แสนล้านบาทไม่จบ หลังหน่วยงานขอทะลุ 4 แสนล้าน ยันต้องพิจารณาอย่างโปร่งใส ห้ามใช้วิธีพิเศษ ต่ำกว่า 5 แสนตัดทิ้งทันที ประเมินไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยอ่วมเต็มที่
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จะมีการเลื่อนประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานออกไปก่อน จากเดิมมีกำหนดประชุมในวันที่ 11 มิ.ย.นี้ เนื่องจากยังต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาทให้เรียบร้อยก่อน โดยหลักการใช้จ่ายเม็ดเงินในส่วนนี้จะต้องทำให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องมาพิจารณาอย่างละเอียดว่าแต่ละโครงการที่หน่วยงานต่างๆ เสนอเข้ามาอยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะเป็นหรือไม่ หรือหน่วยงานจะต้องกลับไปทบทวนใหม่ หลังจากได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้วจึงค่อยเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพิจารณาต่อไป
“เรื่องนี้เราจะไม่รีบร้อน เพราะเงินพวกนี้จะต้องใช้ให้ถูกต้อง ผมดูมาเบื้องต้น อะไรที่เขาเสนอมาแล้วไม่อยู่ในสิ่งที่ควรจะเป็น ก็ต้องให้เขากลับไปทบทวน” นายพิชัยระบุ
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยอมรับว่าขณะนี้มีคำขอใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทเข้ามาแล้วเป็นหลักหมื่นโครงการ คิดเป็นเม็ดเงินราว 4 แสนกว่าล้านบาท มีทั้งคำขอในส่วนของโครงการลงทุนเกี่ยวกับถนน น้ำ ท้องถิ่นและต่างๆ ซึ่งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ จะต้องมาตีกรอบเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกัน เช่น เรื่องน้ำ อาจจะพิจารณาสำหรับพื้นที่ที่เคยประสบภัยพิบัติมาแล้ว เรื่องถนน ต้องตอบโจทย์ในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
ขณะเดียวกัน โครงการลงทุนที่ต่ำกว่า 5 แสนบาทจะตัดทิ้งทันที เพราะโครงการที่มีขนาดดังกล่าวจะใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ ไม่ได้เป็นการ e-bidding เนื่องจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องการให้การใช้จ่ายเม็ดเงินมีความโปร่งใสมากที่สุด เพราะงบประมาณส่วนนี้ถูกจับจ้องอย่างมาก ดังนั้นโครงการที่จะเข้ามาขอใช้เม็ดเงินจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่มีความถูกต้องและเป็นโครงการที่มีความพร้อม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องสำคัญคือ งบประมาณปี 2569 งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และงบกลางที่หลายส่วนงานมีคำขอใช้เข้ามา โดยกำชับให้ดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุม ไม่ให้เอื้อประโยชน์หรืออะไรต่างๆ และให้เป็นไปตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติว่า “การกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้” และต้องอยู่ภายใต้ความเหมาะสม จึงเป็นเหตุผลให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องมานั่งสกรีนโครงการอย่างละเอียดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม แนวทางการใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท อาจจะไม่ได้ใช้ในสำหรับโครงการลงทุนทั้งหมดก็ได้ อาจจะมีการจัดสรรบางส่วนไปเพื่อรองรับผลกระทบในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ รองรับโครงการจ้างงานต่างๆ โดยทั้งหมดจะต้องมาดูความเหมาะสม และความจำเป็นอีกครั้งเกี่ยวกับกรอบแนวทางการดำเนินการว่าควรจะเป็นอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจมากที่สุด และยอมรับว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะสรุปการจัดสรรเม็ดเงินออกเป็นล็อตๆ เพื่อเสนอคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจสรุป ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่ได้มีการตัดสินใจชัดเจนใดๆ ทั้งสิ้น
“เราปรับเปลี่ยนจากการแจกเงินหมื่นมาเป็นเรื่องนี้ เพื่อจะช่วยทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการลงทุน ซัพพลายเชนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจทั้งหมดจะได้รับผลกระโยชน์ ท้ายที่สุดเศรษฐกิจจะเกิดการหมุนเวียนหลายๆ รอบ แม้ว่าการเติมเงินจะมีข้อดี คือเร็ว ใส่ลงปุ๊บมีผลทันที แต่การปรับมาเป็นการลงทุนมันมีการทอดเวลา เพราะต้องมีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน ถือเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นสิ่งที่หลายหน่วยงานให้ความเห็นเข้ามา ครม.ก็รับฟังความเห็นและปรับวิธีการตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ส่วนงบ 1.57 แสนล้านบาท จะกระตุ้นจีดีพีได้เท่าไหร่ ตอนนี้ยังไม่รู้ เพราะยังไม่ได้สรุปว่าสุดท้ายจะเป็นงบประมาณเพื่อการลงทุนเท่าไหร่ หรือต้องเอาไปทำอย่างอื่นเท่าไหร่” นายจุลพันธ์ระบุ
ทั้งนี้ เบื้องต้นมีการประเมินว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 ทั้งจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกา ที่ตอนนี้ีข่าวดีว่ามีความชัดเจนในเรื่องการนัดหมายการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐแล้ว ซึ่งหากเป็นไปได้ด้วยดี ผลกระทบก็อาจจะเบาบางลง
“ตอนนี้สถานการณ์ที่ต้องติดตามมี 2-3 อย่าง ทั้งเรื่องภาษีสหรัฐ ซึ่งที่น่าจะเริ่มชัดเจนแล้วคือเรื่องการเก็บภาษีศุลกากร 10% น่าจะมีอยู่ ส่วนการเจรจาที่เป็นโจทย์สำคัญของไทย คือ เราอย่าให้เสียเปรียบประเทศที่เป็นคู่ค้าหรือคู่แข่ง ต้องอยู่ในกติกาที่เรารับได้ จากปัจจุบันสถานการณ์ตอนนี้แทบจะฉีกข้อตกลงที่เป็นพหุภาคีทุกฉบับ ส่วน WTO ไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป หมายความว่า ความเชื่อมั่นและความมั่นใจในข้อตกลงระหว่างประเทศมันหายไป ตรงจุดนี้แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าต่อให้รัฐบาลทำดีแค่ไหนก็ตาม มันก็ย่อมมีผลกระทบเชิงลงต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ไทย แต่เป็นระดับโลก ทุกประเทศได้รับผลกระทบทั้งหมด ส่วนตอนนี้ที่เศรษฐกิจยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะมีปัจจัยเรื่องการเร่งส่งออก เร่งการผลิตเพื่อหลบเลี่ยงความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” รมช.การคลังระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69


