ทักษิณเบี้ยวขึ้นศาล 13มิ.ย.ส่งทนาย/แพทยสภาสวนสมศักดิ์วีโตไม่ตรงประเด็น

"ทนายวิญญัติ" แจงแล้ว   "ทักษิณ" ไม่ไปศาลฎีกาฯ 13 มิ.ย. “สมศักดิ์”  ยัน 12 มิ.ย.เข้าร่วมประชุมแพทยสภา พร้อมชี้แจงเหตุผลวีโต ได้ทียกนิด้าโพลขย่ม “หมออมร” บอกเข้าได้แต่ตอนโหวตไม่ควรอยู่ ย้ำวีโตไม่ตรงประเด็น “ประชาคมแพทย์” รับหมอไม่ทันเกมโลกโซเชียล

เมื่อวันอังคารที่ 10 มิ.ย.2568 นายสมศักดิ์  เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาในวันที่ 12 มิ.ย. โดยจะมีการพิจารณามติที่ลงโทษแพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14  โรงพยาบาลตำรวจ ว่ากฎหมายผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม มาตรา 24 ให้นายกสภาพิเศษร่วมประชุมได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าเราได้ดำเนินการส่งกลับไปตามมาตรา 25 ว่ามีเหตุผลอย่างไร เราไม่ได้ทำตามความรู้สึก แต่ทำตามข้อมูลที่มี ก็จะไปชี้แจงให้ฟัง หากสงสัยก็สอบถามได้

เมื่อถามว่า มีเสียงกรรมการฝ่ายการเมืองเข้าไปล็อบบี้ไม่ให้เข้าร่วมประชุมหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า มีพรรคพวกเพื่อนฝูงฝั่งตะวันตก คือ จ.สมุทรสาคร มีการรวบรวมจะมาให้กำลังใจฝั่งแพทยสภา แต่ก็ไม่เป็นอะไร ส่วนในคณะกรรมการฯ มีการล็อบบี้หรือไม่ ไม่รู้ แต่น่าจะเป็นลักษณะการพูดคุยทำความเข้าใจ

เมื่อถามว่า ผลโพลนิด้ากังขาการทำงานของแพทยสภาในการกำกับดูแลให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมปฏิบัติตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม นายสมศักดิ์กล่าวว่า นิด้าพูดถึงความเชื่อมั่นหรือไม่เชื่อมั่น ซึ่งเป็นแนวโน้มว่ามีความไม่เชื่อมั่นในการดำเนินการของแพทยสภา 54% ซึ่งอยากให้ตระหนักตรงนี้ เพราะหน่วยงานอื่น ประชาชนเห็นด้วยทั้งหมด แต่ตรงนี้ทำไมไม่เห็นด้วย ก็อยากเข้าไปทำความเข้าใจ

ถามอีกว่า หลังจากนี้จะทำงานร่วมกับกลุ่มแพทย์ได้หรือไม่ เพราะดูเหมือนยืนอยู่คนละฝั่งกับแพทยสภา นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตนเองเข้าไป เพราะต้องทำงานร่วมกับแพทยสภา แต่ถ้ายืนอยู่คนละฝั่งก็คงไม่เห็นหน้าเห็นหลังกันแล้ว ย้ำว่า เข้าไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจกันมากที่สุด

นายสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงประเด็นการลงมติของผู้ที่เป็นข้าราชการของ สธ. หรือเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ที่ไม่ได้มีความเห็นสอดคล้องกับหนังสือที่ส่งไปยังแพทยสภาจะมีผลกับตำแหน่งหรือไม่นั้น ว่าเมื่อวานบอกว่าไม่ทราบ ซึ่งพูดสั้นเกินไป วันนี้จึงอยากอธิบายเพิ่มเติมว่า การลงมติอะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้มีผลอะไรกับตำแหน่ง กรรมการทั้ง 3 ท่านใกล้เกษียณโดยอายุแล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน

เมื่อถามว่า ในวันที่ 12 มิ.ย.ที่จะเข้าร่วมประชุมร่วมกับแพทยสภานั้นทำได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีสภานายกพิเศษเข้าร่วมมาก่อน  นายสมศักดิ์ตอบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจ เราก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าไปเข้าร่วมประชุมก็ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร และสามารถทำได้ตามกฎหมาย มาตรา 24 ที่สภานายกพิเศษจะเข้าไปฟังหรือไปชี้แจง หรือไปดำเนินการใดๆ  ในที่ประชุมก็ไปได้ตลอดเวลา ซึ่งคงไม่ได้อยู่ดูจนถึงตอนลงมติ แค่จะไปชี้แจงทำความเข้าใจ จะได้หันหน้าเข้าหากัน ไม่อยากให้มีม็อบหรืออะไรต่างๆ

 “ผู้ที่จะมาร่วมติดตามหรือจะมาให้กำลังใจผม ไม่ต้องมา นอนหลับอยู่บ้านเถอะ สบายๆ ผมทำหน้าที่ตรงนี้โดยลำพัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร” นายสมศักดิ์กล่าว        

ส่วน ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า นายสมศักดิ์มีสิทธิ์เข้าประชุมได้  แต่การโหวตลงมติไม่ได้รวมนายสมศักดิ์ จะนับเฉพาะกรรมการที่มาจากการเลือกตั้ง และกรรมการโดยตำแหน่ง 70 คนเท่านั้น ส่วนจะให้เข้าร่วมประชุมเฉพาะช่วงที่มาให้ข้อมูล หรืออยู่ร่วมจนถึงตอนที่คณะกรรมการมีการแสดงความเห็นเกี่ยวกับที่มีการวีโตหรือไม่นั้น ต้องดูว่าที่ประชุมจะว่าอย่างไร

ตอนโหวตห้ามอยู่

 “ตอนคุยกันสภานายกพิเศษเข้าได้ แต่ตอนโหวตคิดว่าท่านไม่น่า ซึ่งในวันที่ 12 มิ.ย.นี้จะมีนักกฎหมายดูอีกทีว่าเข้าได้หรือไม่ได้ เพื่อความโปร่งใส ชัดเจน ไม่ถือว่ากระชั้นชิด เพราะนายสมศักดิ์ก็บอกว่าจะเข้าไปอยู่แล้ว ก็กางหลักเกณฑ์เลยว่าเข้าได้หรือไม่ได้” ศ.นพ.อมรกล่าว

ศ.นพ.อมรกล่าวด้วยว่า ได้ดูจากเอกสารและข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ เห็นว่าประเด็นที่นายสมศักดิ์วีโตมติแพทยสภากลับมานั้นไม่ค่อยตรงกับที่อนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจชงเรื่องขึ้นไป เช่น การวีโตผู้ถูกร้องคนที่ 2 ว่าแพทยสภาไม่ได้ดูเรื่องกฎเกณฑ์ของราชทัณฑ์ เนื่องจากการส่งตัวเป็นอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์นั้นก็ถูกต้อง แต่จะมาบอกว่าแพทยสภาไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วเท่ากับว่าพิจารณาไม่ครบนั้นไม่ได้  เพราะแพทยสภาพิจารณาเรื่องการประกอบวิชาชีพเวชกรรมกับมาตรฐานจริยธรรมของแพทย์ ในเรื่องเกี่ยวกับการยินยอมให้มีการใช้ใบส่งตัวที่เขียนเอาไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน ทั้งที่มาตรฐานของใบส่งตัวนั้น ต้องกำหนดชัดว่า ผู้ป่วยมีอาการอย่างไร ณ ขณะนั้น เพื่อให้แพทย์ที่รับส่งต่อรักษาได้ตรงจุด หรืออาการหนักแล้วสามารถส่งต่อได้หรือไม่ การส่งออกไปปลอดภัยหรือไม่ หรือควรต้องทำการรักษาจนอาการสามารถส่งต่อแล้วค่อยส่ง

 “ถ้าจะมาบอกว่าหยวนๆ ให้ใช้ใบส่งตัวที่เขียนไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน อย่างน้อยก็ควรเขียนด้วยว่า ณ ขณะนั้น เวลา 5 ทุ่มผู้ป่วยมีอาการอะไรบ้าง เพื่อให้แพทย์ รพ.ปลายทางรู้ว่าเป็นอะไร แต่กลับไม่มีเลย ทำให้กรรมการแพทยสภาเห็นว่าต้องว่ากล่าวตักเตือนกัน” ศ.นพ.อมรกล่าว     

ศ.นพ.อมรกล่าวว่า หลักเกณฑ์ราชทัณฑ์ เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังเข้าๆ  ออกๆ จากเรือนจำเป็นอำนาจของ ผอ.ราชทัณฑ์ แพทย์ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว แม้แพทย์มีความเห็นอย่างไรก็อยู่ที่ ผอ.ราชทัณฑ์อยู่ดีว่าจะฟังหรือไม่ฟังก็ยังได้ มีคนบอกว่าขนาดคนไข้ล่ามโซ่มารักษานอกเรือนจำ ถ้าราชทัณฑ์ให้กลับทันที ส่วนของแพทย์รักษาอยู่ก็ต้องให้กลับ ดังนั้นเป็นสิทธิของราชทัณฑ์เต็มที่ ซึ่งแพทยสภาไม่ได้ดูตรงนี้ แต่ที่เกี่ยวข้องและแพทยสภาดู คือการขอใช้ใบส่งตัว จึงบอกว่าแพทย์ทำผิดมาตรฐาน ส่วนเรื่องขั้นตอนการส่งตัวนั้นไม่เกี่ยว

ส่วนคำโต้แย้งของผู้ถูกร้องที่ 3 โดยนายสมศักดิ์วีโตกลับมาก็ไม่ตรง ที่ว่าแพทย์ไม่ได้พูดคำว่าวิกฤตนั้น ก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้พูด แต่พูดคำว่าอาการน่าเป็นห่วง ซึ่งแพทยสภาเห็นว่าเป็นการให้ข้อมูลไม่ตรง เพราะคนที่พูดเป็นแพทย์ใหญ่ต้องได้รับรายงานอยู่แล้วว่าคนไข้เป็นอย่างไร เนื่องจากแพทย์ที่ดูแลนั้นให้การรักษาอย่างดีจนคนไข้ปลอดภัยแล้ว ดังนั้นแพทย์ใหญ่ต้องได้รับรายงานแล้วว่าคนไข้ปลอดภัยดี แต่กลับบอกว่าไม่ไหว กระทั่งวันต่อมามีการตรวจก็ไม่ตรงอีก

ศ.นพ.อมรกล่าวด้วยว่า ตามข้อบังคับแพทยสภาระบุว่า ผู้ประกอบวิชาชีพต้องไม่ให้การที่ไม่ตรงกับความจริง แล้วยังบอกว่าตัวเองไม่ได้ดูคนไข้ ส่วนการให้ข้อมูลอาการต้องพูดตามจริง ซึ่งแพทย์ผู้ถูกร้องรายนี้ไม่ได้พูดว่าวิกฤต แต่พูดว่าน่ากลัวๆ มาก ซึ่งตรงข้ามกับเวชระเบียนที่ระบุว่าอาการสบายดีขึ้นมาแล้ว ใบรายงานของพยาบาลยังเห็นว่าดีขึ้น ทุกอย่างดูสงบ ประเด็นอยู่ตรงที่ทำไมไปบอกอาการตรงกันข้ามเลย ถ้าเป็นแบบนี้ หากแพทย์พูดสิ่งที่ตรงกันข้าม เท่ากับว่าต่อไปแพทย์จะพูดอะไรก็ได้ใช่หรือไม่ 

“ผมดู 2 รายนี้เห็นว่าที่สภานายกพิเศษวีโตมาก็ไม่ตรงกับประเด็นของแพทยสภา” ศ.นพ.อมรกล่าว  

รับแพทยสภาไม่ทันเกม

ด้านเพจประชาคมแพทย์ โพสต์ข้อความว่า  นิด้าโพลสำรวจประชาชน 1,300 คน เชื่อมั่นแพทยสภาเพียง 30% แสดงถึง 1.มีส่วนจริง แม้สำรวจประชากรเพียง 1,300 คน แต่ถ้ามาสำรวจในหน้าเพจของเรา ข้อมูลจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ซึ่งก็ตั้งข้อสงสัยในนิด้าโพลเหมือนกันว่าจะหยิบยกมาในช่วงไหน เพื่อช่วงชิงจังหวะทางการเมืองหรือเปล่า เพราะแต่ก่อนไม่เคยเห็นสำรวจ 2.แพทยสภาอยู่ในฐานะตั้งรับตลอด ไม่มีมาตรการในเชิงรุกในการประชาสัมพันธ์ แนวทางจุดยืนการแสดงบทบาททางสถานะของผู้ที่เป็นผู้นำขององค์กร เช่น นายกแพทยสภาและเลขาธิการแพทยสภา ซึ่งเข้าใจดีว่ากรรมการหลายท่านค่อนข้างอาวุโส ไม่สามารถตามทันกลและเกมในทางโซเชียลจากบรรดาสาวกฝั่งที่จะคอยบั่นทอนจริยธรรมขององค์กร ทั้งนี้ ประชาคมแพทย์ของเราพร้อมเป็น "เดอะแบก" ให้แพทยสภา

 “ต้องขอบคุณข้อมูลจากนิด้าโพล คน 1,300 นี้คงมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดี ที่มาจากการบริการทางการแพทย์ เลยเหมาไปว่าไม่มั่นใจแพทยสภา คือไม่รู้ว่าคำถามเคลียร์หรือเปล่า แต่ผลของโพลก็มากเพียงพอให้มีผู้ฉกฉวยเอาข้อมูลนี้ไปดิสเครดิตองค์กรของเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่เป็นฟีดแบ็กที่เลขาธิการแพทยสภา นายกแพทยสภา และกรรมการแพทยสภาทุกคน ต้องเร่งทำงานให้มากกว่านี้ เพื่อรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของวงการแพทย์เรา”

ส่วน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการพิจารณาของคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีนายทักษิณรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ 181 วัน ในวันที่ 13 มิ.ย.ว่า กระทรวงยุติธรรมจะมี 2 หน่วยที่เกี่ยวข้องคือ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ซึ่งได้สอบถามกับทั้ง 2 หน่วยงาน ก็มีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ และถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ไปชี้แจงกับศาล เนื่องจากผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้ง 2 หน่วยงานยึดกฎหมายโดยเฉพาะกฎหมายราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป และเป็นระบบหลักการของกฎหมายไทย เมื่อเราใช้กฎหมายเฉพาะแล้ว แต่ถ้ากฎหมายเฉพาะไม่สามารถคุ้มครองสิทธิ์ของผู้ต้องขังหรือญาติของบุคคลดังกล่าวได้ก็จะใช้กฎหมายทั่วไป โดยจะต้องไปขออำนาจศาล โดยในส่วนของกรมราชทัณฑ์ ประกอบกับมาตรา 246 พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ได้มีแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาไว้แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงกับผลที่จะออกมาหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า เราต้องสร้างความมั่นใจว่าอะไรที่เข้าไปสู่ศาลแล้วถือเป็นเรื่องที่ดี และเราเคารพในคำตัดสินของศาล แต่ส่วนตัวไม่ได้มีความกังวล และหน่วยงานก็ไม่ได้กังวล เพราะเขาปฏิบัติมากว่า 100 ปีแล้ว

วันเดียวกัน นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความชัดเจนภายหลังปรากฏกระแสข่าวนำเสนอผ่านสื่อมวลชนบางสำนัก อาจมีการขอเลื่อนนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำสั่งในคดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้นายทักษิณ ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 8 ปี ต่อมาได้รับการลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ได้รับการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าจะมีการเลื่อนนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย. โดยตนในฐานะทนายความของนายทักษิณ ได้ยื่นคำขอขยายเวลาส่งเอกสารคำชี้แจงต่อศาลออกไปก่อน ซึ่งศาลได้กำหนดกรอบเวลาเป็นภายในวันที่ 23 มิ.ย.

"ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ผมในฐานะทนายความ จะเดินทางไปยังศาลฎีกาฯ ตามนัดไต่สวน โดยที่นายทักษิณจะไม่ได้เดินทางไปด้วยตนเอง"   นายวิญญัติระบุ

สำหรับคดีนี้ ศาลฎีกาฯ ได้สั่งให้โจทก์คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอัยการสูงสุด รวมถึงจำเลย คือ นายทักษิณ, ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ, อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ศาลฎีกาฯ ภายในไม่เกิน 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทนายความของทักษิณได้ขอขยายระยะเวลาส่งเอกสารหลักฐานออกไป เป็นภายในไม่เกินวันที่ 23 มิถุนายนดังกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หมอวรงค์' มองภาพ 'เบนสมิธ' ร่วมวง 'ทักษิณ-ธรรมนัส' น่ามีผลต่อปท. มากกว่ารูปเก่า 'อนุทิน'

ภาพที่มีเบน สมิธกับทักษิณ และมีธรรมนัส น่าจะมีน้ำหนักสร้างผลกระทบต่อประเทศชาติมากกว่า เมื่อเทียบกับภาพเมื่อ 10 ปีที่แล้วของนายอนุทิน แต่สิ่งที่นายอนุทินต้องพิสูจน์ อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างผ่านมาทางธรรมนัสก็ได้

รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน

ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี

อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก

นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม