เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ พระราชทานเงินเดือนทหารของพระองค์ พร้อมพระ-สิ่งของ แก่ "มทภ.2" เพื่อนำไปแจกจ่ายทหารชายแดน "นายกฯ อิ๊งค์" ขอมั่นใจไม่มีสงคราม บอกใช้ความจริงใจคุยกัมพูชา ทุกระดับคอนเฟิร์มร่วมวง JBC 14 มิ.ย. วางคิว 10 มิ.ย.ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สุรินทร์ “บิ๊กเล็ก” รับสถานการณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ไม่มีเผชิญหน้า คงมาตรการเปิด-ปิดด่านตามระยะเวลาต่อ รอดูท่าทีเขมรอีกครั้ง โยน "สมช." ถกตัดไฟ-น้ำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ "ครม." ไม่รับลูก "สว." เปิดประชุม ถกปมชายแดน ระบุสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ตั้ง "อดีตทูตประศาสน์" ปธ.JBC ฝ่ายไทย "สนธิ-ปานเทพ" นำเครือข่ายยื่น 6 ข้อ จี้ รบ.แก้ปัญหาข้อพิพาท
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ที่วังศุโขทัย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานสิ่งของและเงิน แก่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ประกอบด้วยเงินจากเงินเดือนทหารของพระองค์ พระและสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารและกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทางรัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้ง โดยมีการปฏิบัติงานร่วมกันและมีการพูดคุยในหลายภาคส่วน ซึ่งผลออกมาก็ค่อนข้างสงบเรียบร้อยดี ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ให้ในพื้นที่ของหน่วยงานความมั่นคง กองทัพ และการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ตามกรอบความร่วมมือทวิภาคี ก็ได้คุยกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงการคุยกันระหว่างกระทรวงและทุกหน่วยงานทั้งไทยและกัมพูชา
"ดิฉันก็ได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็มีการประสานงานกัน มีการเจรจาเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเราสามารถเจรจากันด้วยสันติวิธี ทำให้ไม่มีการปะทะกันที่รุนแรง" น.ส.แพทองธารกล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ในระดับพื้นที่ หน่วยงานความมั่นคงและกองทัพ ได้มีการประสานกับผู้นำเหล่าทัพของกัมพูชาในหลายครั้ง เพื่อที่จะพูดคุยเจรจาบริเวณชายแดน ซึ่งแต่ละหน่วยมีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ทำให้การพูดคุยเป็นไปด้วยดี ทั้งนี้ สมเด็จฮุน เซน ได้มีการประสานงานส่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อมาขอความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขบริเวณที่มีการพิพาท ซึ่งได้มีการรายงานกับสมเด็จฮุน เซน เรียบร้อย ทำให้มีความเข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงมีการปรับกำลังพลในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทให้อยู่ในสถานการณ์ปกติ ส่วนบริเวณพื้นที่อื่นๆ ยังมีกำลังพลตามเดิม
"ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นย้ำในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) วันที่ 14 มิ.ย.นี้ โดยมีการคอนเฟิร์มในทุกระดับ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ระดับนายกรัฐมนตรี ขอยืนยันวันที่ 14 มิ.ย.นี้มีการประชุมเกิดขึ้นแน่นอน" นายกฯ กล่าว
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า กรณีที่กัมพูชามีความประสงค์จะส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ทางรัฐบาลไทยขอยืนยันว่าไม่รับเขตอำนาจศาลโลก โดยที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการผ่านวิธีทางการทูต ซึ่งเป็นที่ยอมรับในเวทีสากลและมีผลลัพธ์ที่ดีมาโดยตลอด แน่นอนว่าเรื่องนี้บางครั้งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนได้ เพราะเป็นการเคารพการพูดคุยในเรื่องของข้อมูลของทั้งสองประเทศ ตรงนี้เป็นสิ่งจำเป็นไม่สามารถรายงานได้ตลอด
นอกจากนี้ ได้มีการกำชับมาตรการชายแดนต่างๆ ให้มีการเปิด-ปิดตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไม่ได้มีการปิดด่านถาวรตามที่มีข่าวลือออกมา เพราะทราบดีว่าพื้นที่ตรงนั้นมีการค้าขายระหว่างประเทศ ถ้าปิดด่านถาวรจะส่งผลเสียต่อประชาชน ฉะนั้นก็มีมาตรการรัดกุมในเรื่องของเวลาเปิด-ปิดด่าน และต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้มีส่วนในการเจรจราในครั้งนี้ เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้พูดคุยกับหัวหน้าหน่วยทุกคนที่ได้มีรายงานตรงมายังตนตลอดเวลา ซึ่งบางอย่างตนไม่สามารถออกมาพูดได้ เพราะจะเกิดผลกระทบค่อนที่ข้างไม่ดี แต่มีบางข้อมูลที่เล็ดลอดออกไปก็ได้มีการบอกกับทางกัมพูชาและมีการตกลงกันได้ และเข้าใจซึ่งกันและกัน
อิ๊งค์ไปชายแดนไทย-กัมพูชา
"ต้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวมถึงไม่ให้สร้างความแตกแยกภายในประเทศเพื่อให้เกิดความมั่นคงและสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยสันติวิธี รวมถึงทำให้ผู้ประกอบการในบริเวณดังกล่าวเกิดความมั่นใจตรงนี้เป็นสิ่งที่เน้นย้ำ รัฐบาลขอยืนยันอีกครั้งการเจรจาทั้งหมดนี้ผ่านไปด้วยดี และขอเน้นย้ำว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นกับประชาชนอย่างแน่นอน" น.ส.แพทองธารกล่าว
ถามว่า นายกฯ ให้ความมั่นใจได้ใช่หรือไม่ว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้น น.ส.แพทองธารกล่าวว่า “ค่ะ” ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ามีความมั่นใจกับท่าทีสมเด็จฮุนเซน แค่ไหน หลังออกมาโพสต์ข้อความที่มีนัยเชิงลบ การขยับกำลังไม่ได้เป็นการถอย เหมือนการนอนอยู่แล้วเปลี่ยนท่า น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เราสื่อสารในเรื่องนี้ในลักษณะที่คล้ายกันหลายจุด เช่นคำว่าถอยทั้งสองฝ่าย ก็ไม่อยากใช้คำนี้ เราใช้คำว่าปรับกำลัง เพราะเราปรับกำลังทั้งคู่เป็นการให้เกียรติกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่กัมพูชาอย่างเดียว แต่ของเราก็ปรับกำลังเช่นกัน การที่เขาบอกว่าพร้อมรับมือเราก็พร้อมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปะทะในแบบไหนเราต้องเตรียมความพร้อมไว้ก่อน
เมื่อถามว่า ได้เห็นหนังสือที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอให้รักษาอธิปไตยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่เห็นหนังสือ เพียงแต่ทราบว่ามีการมายื่น ทุกความคิดเห็นรัฐบาลรับฟังอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำอยู่ทางกองทัพก็วางกำลังดูแลอยู่แล้ว
ซักว่าอะไรคือประเด็นหลักในการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และสมเด็จฮุน มาเนต แล้วทำให้ท่าทีอ่อนลง น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ทั้งสองประเทศต้องการสันติวิธี และเราพูดคุยตามความจริงใจว่าเรามีความจริงใจแบบนี้ ไม่ต้องการเห็นคนทั้งสองประเทศมีปัญหากัน เราต้องการความสงบ ตอนนี้เราเร่งเครื่องเรื่องเศรษฐกิจมากกว่าไม่อยากให้มาเป็นสนามรบหรืออะไร
พอถามว่า หนึ่งในข้อเสนอคือการให้ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกให้เป็นสากล และยกเลิกเอ็มโอยู 43 เราจะหยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาหลังเกิดความขัดแย้งครั้งนี้เลยหรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เราขอพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป เหมือนที่เรายืนยันกับทางกัมพูชาว่าเราขอโฟกัสที่เรื่องข้อพิพาทก่อน ไม่ใช่เอาทุกเรื่องมาปนกันหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่ชัดเจนในแต่ละหัวข้อ แต่ทุกเรื่องที่มีปัญหาหรือว่ายังไม่จบ ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายบริหารต้องพิจารณาอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า พูดได้หรือไม่ว่ารัฐบาลแก้ทีละปมทีละจุด น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ใช่ค่ะ แก้ทีละปมทีละจุด
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ในวันที่ 11 มิ.ย. น.ส.แพทองธารพร้อมคณะจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โดยในช่วงเช้าจะเดินทางไปที่สนามบินบุรีรัมย์ อำเภอสตึก จากนั้น เดินทางต่อโดยรถยนต์ไปยังห้องประชุม ที่ว่าการอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โดยนายกฯ จะเป็นประธานการประชุมในประเด็นเรื่องความมั่นคง รวมถึงมาตรการในการสนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา
"นายกฯ จะตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญและกำลังใจให้แก่กำลังพล กองกำลังสุรนารี และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับกำลังพล จากนั้นจะออกเดินทางต่อไปยังจุดผ่านแดนถาวร ช่องจอม อำเภอกาบเชิง เพื่อพบปะประชาชนในพื้นที่ และพูดคุยถึงสถานการณ์ปัจจุบันหลังจากสถาณการณ์ชายแดนเริ่มคลี่คลายดีขึ้น" โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว
คงเปิด-ปิดด่านดูท่าทีเขมร
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า เมื่อทราบว่านายกฯ จะลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ก็จะลงด้วย จึงกำหนดการประชุมผู้ว่าราชการ 7 จังหวัดชายแดนมาประชุมร่วมกับนายกฯ ที่ จ.สุรินทร์ แทน จากเดิมที่ตนจะประชุมผู้ว่าฯ ในวันดังกล่าวที่ จ.อุบลราชธานี ดังนั้นจึงให้ผู้ว่าราชการทั้ง 7 จังหวัด มารับมอบนโยบายจากนายกฯ ที่เดียว
ถามถึงการสั่งสำรวจหลุมหลบภัยพื้นที่ชายแดน นายอนุทินกล่าวว่า กำลังสำรวจในแต่ละพื้นที่ โดยเป็นการเตรียมความพร้อม ไม่ใช่รอให้เกิดเหตุก่อนมาล้อมคอก เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้น หลุมหลบภัยมีไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับสถานการณ์ และบางจุดชำรุดทรุดโทรม ดังนั้นเรื่องนี้จำเป็นต้องมีสำหรับเด็กเล็ก ชาวบ้าน ที่บางครั้งเมื่อมีเหตุฉุกเฉินโจมตีหรือสู้รบเกิดขึ้น ก็ต้องให้ความมั่นใจว่าสามารถป้องกันภัยให้กับประชาชนได้ ซึ่งขณะนี้กำลังสำรวจว่ามีกี่หลุมหลบภัยในพื้นที่ชายแดน
"เบื้องต้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ แต่ทำให้เกิดความปลอดภัยและทำให้มีจำนวนเพียงพอถ้ามีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ไม่ต้องมากังวลในเรื่องนี้ว่าจะมีอันตรายกับประชาชนหรือไม่” นายอนุทินกล่าว
รองนายกฯ กล่าวว่า เรื่องงบค่อยว่ากัน แต่เรื่องนี้จำเป็นเร่งด่วน เมื่อสำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วมีทางเลือกก็ใช้งบได้ ซึ่งหากใช้งบกลางก็ขอนายกฯ แต่ขณะนี้ปลายปีงบประมาณ 2568 เมื่อสำรวจแล้วมีงบเหลือจ่ายหรือเพื่อนำไปซ่อมแซม ก็อาจจะนำไปใช้ จะได้ไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณในปีถัดไป
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาดีขึ้นเล็กน้อยกว่าเมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ยืนยันมาตรการในการปรับระยะเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนยังคงไว้อยู่ เพราะสถานการณ์ยังคงดีขึ้นเล็กน้อยตรงที่กำลังทั้งสองฝ่ายได้ปรับกำลัง ไม่ได้เผชิญหน้ากัน ถือว่าดีขึ้น เพราะตราบใดที่ยังมีการเผชิญหน้ากันมันมีความเสี่ยงในการปะทะและการใช้อาวุธ ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย สุ่มเสี่ยงทั้งกำลังทหารและพี่น้องที่อยู่ชายแดน
ถามว่า มาตรการตัดน้ำตัดไฟจะเสนอต่อที่ประชุม สมช.อย่างไร พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า คงต้องพิจารณาตามสถานการณ์ ซึ่งเรื่องตัดน้ำตัดไฟขณะนี้มีอยู่ 2 เรื่องในเวลาเดียวกัน ทางหน่วยกำลังป้องกันชายแดนต้องการที่จะตัดน้ำตัดไฟ แต่ขณะเดียวกันทางศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) ที่มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้อำนวยการ ต้องการตัดน้ำตัดไฟในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการคอลเซ็นเตอร์ จึงขึ้นอยู่กับ สมช.จะพิจารณาว่าจะดำเนินการหรือไม่ อย่างไร เหมาะสมหรือไม่ ที่จะดำเนินการในช่วงนี้
ซักว่าจะมีส่วนทำให้สถานการณ์ชายแดนกลับมาตึงเครียดอีกรอบหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ก็เนี่ย ก็ต้องช่วยกันพิจารณา ที่ผ่านมาไม่ได้แค่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำคนเดียว ทั้ง สมช.และรัฐบาลหารือกันในวงเล็ก
"มาตรการที่ดำเนินการอยู่ ขณะนี้รัฐบาลได้พิจารณาแล้วขอให้ยังดำรงมาตรการต่างๆ อยู่ต่อไป เพื่อประเมินว่า สถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางใด แม้ปัจจุบันจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่เราต้องดูต่อไป บางท่านถามว่าจะคงถึงวันที่ 14 มิ.ย. ที่จะมีการประชุมเจบีซีหรือไม่ ต้องตอบว่าไม่ใช่ เพราะต้องขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ อาจจะเร็วหรือช้ากว่านั้น สมช.จะประเมินอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราจะดูท่าทีของฝ่ายกัมพูชา โดยไทยใช้แนวทางสันติอยู่แล้ว เราเน้นแนวทางพูดคุยและกลไกเจบีซี แต่เราจะดูท่าทีของกัมพูชาว่าจะพัฒนาไปในแนวทางที่ดีขึ้นหรือไม่ ถ้ามีแนวโน้มพัฒนาไปในทางที่ดี เราก็จะนำมาพิจารณาในเรื่องมาตรการควบคุมแนวชายแดนอีกครั้ง" พล.อ.ณัฐพลกล่าว
อดีตทูตประศาสน์ 'ปธ.JBCไทย'
ขณะที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีวุฒิสภาทำหนังสือขอให้รัฐบาลเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อหารือกรณีชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ได้รายงานเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม ครม. โดยรวมเห็นกันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพราะสถานการณ์คลี่คลายแล้ว และประชาชนเข้าใจสถานการณ์ได้ดีแล้ว
"วันนี้มีพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาสมัยสามัญที่เปิดวันที่ 3 ก.ค.นี้ ซึ่งถ้ารัฐบาลเสนอให้เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญอีกดูไม่สมควร ซึ่งที่ประชุม ครม.เห็นไปตามนี้ และไม่ต้องมีหนังสือตอบกลับไปยังวุฒิสภา" นายชูศักดิ์กล่าว
มีรายงานว่า ใน 1-2 วันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาของฝ่ายไทยวงเล็ก ที่กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเตรียมการประชุม JBC ที่กรุงพนมเปญในวันที่ 14 มิ.ย. โดยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(ฝ่ายไทย) ประกอบด้วย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ประธานคณะกรรมาธิการฯ, ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทน เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการฯ ส่วนคณะกรรมาธิการ ได้แก่ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือผู้แทน, เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ หรือผู้แทน, อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย, อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก หรือผู้แทน, อธิบดีกรมการปกครอง หรือผู้แทน, เจ้ากรมแผนที่ทหาร หรือผู้แทน, เจ้ากรมอุทกศาสตร์ หรือผู้แทน, ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน หรือผู้แทน, รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย, ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย, ผู้แทนกองบัญชาการกองทัพไทย, ผู้แทนกองทัพบก, ผู้แทนกองทัพเรือ
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการกองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นกรรมาธิการและเลขานุการ, เจ้าหน้าที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นกรรมาธิการและผู้ช่วยเลขานุการ รวมทั้งเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายภูมิธรรมได้แต่งตั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการนี้ด้วย
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 10.00 น. มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน, แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.), กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) นำโดย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล เดินทางมาที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี กรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา โดยเรียกร้องให้นายกฯ และ ครม. ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติให้เป็นรูปธรรม โดยให้เสร็จสิ้นก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC) โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนรับหนังสือ
นายปานเทพกล่าวตอนหนึ่งว่า การยื่นหนังสือถึงนายกฯ ครั้งนี้ เป็นการรวมตัวกันของนักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เพื่อต้องการให้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตยความมั่นคงของชาติ จึงขอยื่นหนังสือถึงนายกฯ และครม. ตามข้อเรียกร้อง 6 ข้อ
สำหรับ 6 ข้อเสนอโดยสรุป 1.รัฐบาลต้องประกาศย้ำไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ไทยจะใช้กลไกเจรจาทวิภาคีโดยใช้ JBC เท่านั้น 2.รัฐบาลต้องประท้วงอย่างเป็นทางการทั้งต่อกัมพูชาและสากลว่า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย สามเหลี่ยมมรกต และศาลาตรีมุข เป็นดินแดน และทรัพย์สมบัติของไทย 3.ต้องแก้ไขคำพูดของนายภูมิธรรมที่กล่าวหาว่าการรุกล้ำของกัมพูชาเป็น No Man's Land ซึ่งต้องแก้ไขว่าเป็นแผ่นดินไทยเท่านั้น 4.สั่งการและมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิก MOU 2544 เพื่อยกเลิกเส้นไหล่ทวีปที่รุกล้ำอธิปไตยน่านน้ำไทย และให้ใช้กลไก JPC แทนการใช้แผนที่อ้างสิทธิ์ตาม MOU 2544 5.เพิ่มอำนาจต่อรองให้ราชอาณาจักรไทย ก่อนการเจรจา JBC และเปลี่ยนตัวนายประศาสน์ ที่เป็นประธาน JBC ฝ่ายไทย 6.ขอให้ลดเวลาการเปิดด่านไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่บ่อนกาสิโน
"หากสถานการณ์เลวร้ายลง ขอให้กองทัพไทยประกาศกฎอัยการศึก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนอันมาจากความเกี่ยวพันทางเครือญาติที่ใกล้ชิดของผู้นำทางการเมืองของสองประเทศ" นายปานเทพกล่าว
ด้านนายสนธิกล่าวว่า หากถามว่าตนจะมีการลงถนนอีกหรือไม่นั้น หากจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย และขับไล่รัฐบาลชั่วช้า ถ้าจะลงถนนก็ไม่ขัดข้อง อายุ 78 ปีแล้ว ขอลงครั้งสุดท้ายก่อนตายก็ยินดี.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท


