ดัชนีอุตฯทรุด! ผวาภาษีทรัมป์ ธปท.ห่วงSME

“แบงก์ชาติ” ขอรอผลเจรจาภาษีทรัมป์  ก่อนประเมินเศรษฐกิจไทย แนะภาคธุรกิจฉวยโอกาสปรับตัวเพิ่มศักยภาพแข่งขัน ชงทบทวนเพดานค้ำประกันสินเชื่อเปิดช่องเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุน ห่วงสินค้าทะลักกระทบเอสเอ็มอีอ่วม   ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ดิ่ง! จากปัญหาด่านเขมร-ภาษีสหรัฐ ส.อ.ท.แนะรัฐเร่งแก้เกมการค้า เร่งงบกระตุ้นศก. 1.15 แสนล้าน      

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.) เปิดเผยว่า ยังเร็วไปที่จะประเมินผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกาต่อเศรษฐกิจไทย  เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งต้องรอดูว่าท้ายที่สุดแล้วผลการเจรจาจะออกมาในทิศทางไหน ทั้งนี้ ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และภาคการเงิน ต้องหันหน้าเข้าหากัน ว่าสิ่งที่ควรทำเพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง โดยสิ่งที่น่าดีใจคือ ระหว่างการพูดคุยกัน ไม่ได้มองแค่เรื่องระยะสั้น การเยียวยา แต่ยังมีการพูดถึงเรื่องระยะยาวไปจนถึงการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันอีกด้วย ดังนั้นครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะปรับตัวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น ไม่ใช่การเน้นแค่เรื่องตัวเลขเท่านั้น

นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาษีนำเข้าของสหรัฐครั้งนี้ น่าจะมาจากหลายช่องทาง ทั้งกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐ และกลุ่มที่จะถูกกระทบจากสินค้าที่จะทะลักเข้ามาในประเทศ จากการที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเยอะ มีความเปราะบางสูง

ส่วนกรณีที่มองว่าหลักเกณฑ์ของ ธปท.ที่เข้มข้นทำให้กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้นั้น นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า ต้องสร้างความเข้าใจก่อนว่าการเข้าไม่ถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอีนั้นไม่ได้เกิดจากเกณฑ์ของ ธปท.  แต่มาจากเรื่องความเสี่ยงของผู้ประกอบการ จนทำให้สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้ โดยวิธีแก้ไขต้องไปดูที่ต้นเหตุ ซึ่งแนวทางสำคัญคือ การค้ำประกันสินเชื่อ โดยผ่านกลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สิ่งที่จะต้องมาทบทวนตอนนี้ อาจจะต้องมาดูว่าสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อควรจะต้องปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่ จากปัจจุบันอยู่ที่ 40%

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวถึงข้อเรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้นว่า เป็นเรื่องปกติที่ ธปท.จะต้องเตรียมมาตรการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเรื่องอัตราดอกเบี้ยเคยชี้แจงอย่างต่อเนื่อง และในระยะต่อไปจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือน ส.ค. จะมีการพิจารณาข้อมูลต่างๆ ประกอบด้วย โดยอยากย้ำว่าการตัดสินใจใช้นโยบายหรือมาตรการต่างๆ นั้น ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีมาตรการอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาด้วย

วันเดียวกัน นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน มิ.ย.2568 ว่าอยู่ที่ระดับ 87.7 ปรับตัวลดลง จาก 88.1 ในเดือน พ.ค.68 ซึ่งเป็นผลจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา และการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซ LNG จากไทย  ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนและผ่านแดน ด้านสหรัฐ ปรับขึ้นภาษี Sectoral Tariff ในกลุ่มสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลกระทบทำให้ราคาพลังงานผันผวน

ขณะที่การส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัว อีกทั้งการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศกดดันผู้ประกอบการ การผลิตเพื่อส่งออกเริ่มถูกแทนที่ด้วยสินค้านำเข้า ราคาสินค้าเกษตรหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร และทำให้กำลังซื้อในภูมิภาคลดลง รวมถึงความขัดแย้งและความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชนและเงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น จากเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค และการอ่อนค่าของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ในเดือน มิ.ย. ยังคงมีปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกก่อนสิ้นสุดมาตรการชะลอการเก็บภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในเดือน ก.ค.68 ขณะเดียวกัน สัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐยังมีทิศทางเชิงบวก และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการช่วงกลางปี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 90.8 ลดลงจาก 91.7 ในเดือน พ.ค.68 เนื่องจากความไม่แน่นอนจากปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา การปิดด่านอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในพื้นที่ กทม.และต่างจังหวัดในบางกิจการ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.68 รวมถึงความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีแบบตอบโต้

อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ  1.ขอให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น ช่วยรับซื้อสินค้าและกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่น จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้ชั่วคราวสำหรับ SME ชดเชยค่าจ้างให้แรงงานกรณีปิดกิจการชั่วคราว เป็นต้น 2.ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการใช้จ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 1.15 แสนล้านบาท ให้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด และ 3.ขอให้ภาครัฐเร่งเจรจาปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐให้ลดลงสู่ระดับที่สามารถแข่งขันได้ ก่อนจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค.นี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.